• Skip to primary navigation
  • Skip to main content
  • Skip to primary sidebar

LIVE ONCE

Only Live Once, Smart Life, Spend Wisely - dogs, travel, tech, running and freedom

  • Travel
  • LifeStyle
  • Sport
  • Book
  • Tech
You are here: Home / Archives for Travel

Travel

เที่ยวฮอกไกโด ตอนที่3 (เทคนิคการใช้งาน GPS NAVI ที่ญี่ปุ่น)

September 8, 2013 by Chaiyasit Admin 9 Comments

ก่อนการเดินทาง เชื่อว่าหลายๆคนก็คงเตรียมข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวที่จะไป รวมไปถึงตำแหน่งร้านอาหาร ที่พัก โรงแรม ตำแหน่ง Lat Long รวมไปถึงชื่อภาษาญี่ปุ่น และบางคนรวมไปถึงเราด้วย ก็จดชื่อภาษาอังกฤษของสถานที่นั้นๆ หวังที่จะมาใช้งานตามสไตล์ GPS แบบไทยๆ ที่เราพบเห็นกันใน Garmin หรือ GPS ยี่ห้ออื่นๆ  …..

อย่างที่เกริ่นไว้ในตอนที่ 1 และตอนที่ 2 ว่ารถที่เราจะใช้เป็นพาหนะคู่ใจทริปญี่ปุ่น ท่องเที่ยวตะลุยฮอกไกโด รอบนี้คือ Nissan Cube ฉะนั้นเราก็จะพูดถึง English Speaking GPS ของ Nissan มากกว่านะ แต่ก็จะมีหน้า GPS NAVI ของรถ TOYOTA มาเปรียบเทียบให้ดูด้วย

 

NISSAN GPS
NISSAN GPS
TOYOTA GPS
TOYOTA GPS

 

จะสังเกตุเห็นว่าแม้หน้าตา Interface จะต่างกันไปบ้าง แต่หลักการใช้งานจริงๆ แล้วนั้นจะไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่…

ส่วนเราก็มาดูหน้าตาเมนูหลักของ NISSAN GPS กันดีกว่า เพราะเป็นรถที่เราใช้เที่ยวมานั้นเอง

 

Nissan Main
รูป GPS ต่อจากนี้เอามาจาก http://www.nissan.co.jp และมาใส่ภาษาไทยเพิ่มเติมเพราะรูปที่มีอยู่ไม่ค่อยเวิร์คเลย

ในหน้า Main Interface หากสังเกตุจะมี Keywords ที่น่าสนใจอยู่เช่น

1) 现在的 (เก็นไซชิ) หรือถ้าเป็นภาษาจีนจะอ่านว่า เสี่ยนจ้าย… … หมายถึง ตำแหน่งปัจจุบัน

2) メニュー หมายถึง เมนู

เมื่อเรากดปุ่ม 1) 现在的 นอกจากจะเป็นปุ่มที่ใช้บอกตำแหน่งปัจจุบันของเราแล้ว ยังเป็นปุ่มที่เวลาเราหลงๆ มึนๆ อยู่ใน GPS แล้วอยากจะกลับมาเริ่มใหม่ที่หน้าหลัก

ส่วนปุ่มที่ใช้งานบ่อยที่สุดจะเป็นปุ่ม 2) メニュー (MENU) นะเพราะว่ามันจะ นำพาเราไปสู่หน้าเมนูหลักนั้นเอง

Nissan_MENU

มันจะเป็นหน้าเมนูฟีเจอร์และฟีชั่นต่างๆ รวมไปถึง NAVIGATION ด้วยนั้นเอง ซึ่งจะมีเมนูในการค้นทางสถานที่โดย

– ที่อยู่

– จิ้มเลือกตำแหน่งบนแผนที่

– ตามสถานที่สนใจ (POIs)

– ตาม MAP CODE

– ตามโทรศัพท์

– และอื่นๆ

และก็อย่างที่ได้เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องว่า ก่อนเดินทางที่เราอุตส่าห์ค้นคว้าค้นหาและจดข้อมูลสถานที่ต่างๆไว้มากมาย…. แต่สุดท้าย เวลามาขับรถเที่ยวที่ญี่ปุ่น จริงๆแล้ว  สิ่งที่เราใช้โดยมาก ก็จะเป็นวิธีการค้นหาสถานที่โดยใช้  “เบอร์โทรศัพท์”

และอยากจะแนะนำว่านอกจากเบอร์โทรศัพท์แล้ว เจ้าตัว MAP CODE ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ง่ายต่อการใช้นำทางมากมายเช่นกัน

1) 電話番号 –  ค้นหาโดยเบอร์โทรศัพท์

2) マップコード – ค้นหาโดย MAPCODE

แต่ในที่นี้จะเน้นไปการใช้เบอร์โทรศัพท์ เพราะว่าในทุกๆเวปไซต์ของสถานที่ที่เราจะไป เราก็ต้องค้นคว้าบน Google ก่อน ซึ่งยังไงเขาก็มีเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ติดต่ออยู่แล้ว ส่วน MAPCODE นั้นจะมีแค่เฉพาะบางที่เท่านั้นเองที่จะมีให้ และถ้านับจากทริปที่เราเดินทางมาจะใช้ตัวเบอร์โทรศัพท์มากกว่านั้นเอง

เมื่อเรากดปุ่ม 1) 電話番号 มันจะพาเรามายังหน้านี้

Nissan_Phone

หน้า Interface ในเมนู 1) 電話番号 ก็จะเป็นอะไรที่ง่ายๆ มีหมายเลข 0-9 และปุ่มขวาล่าง 検索 ที่หมายถึง ค้นหา (Search) นั้นเอง ส่วนปุ่มบนขวา 打正 นี้หมายถึงยกเลิกเบอร์ที่พิมพ์ไป (พิมพ์ใหม่)

แต่การใส่หมายเลขโทรศัพท์นั้นจะมีทริคเล็กน้อยนะ เพราะว่าเบอร์ติดต่อส่วนใหญ่จะมาประมาณนี้

เบอร์ร้านข้าวแกงกระหรี่ (Love Rain) ที่ Furano
เบอร์ร้านข้าวแกงกระหรี่ (Love Rain) ที่ Furano

เวลาเรากรอกเบอร์ลง GPS นี้ ถ้าเผลอกรอก +81 167-23-4784 ลงไปเลย จำนวนหลักมันจะเกิน แต่ถ้าตัด +81 ซึ่งเป็นรหัสประเทศไป มันก็จะขาดไป 1 หลัก เอ๊ะ! มันยังไง

สุดท้ายก็ถึงบางอ้อ เพราะทริคของมันก็คือให้เริ่มต้นด้วย “0” (ศูนย์) ก่อน แล้วค่อยตามด้วยเบอร์โทรศัพท์ที่ตามมา ถ้าตามตัวอย่าง เราก็ต้องกรอก 0167234784 แล้วก็กด 検索 เพื่อค้นหาและ GPS จะทำการโชว์แผนที่ของสถานที่ที่เราค้นหาตามหมายเลขโทรศัพท์นั้นๆ

Nissan_selectPOI

แผนที่ของสถานที่ที่เรากรอกเบอร์โทรศัพท์ลงไปก็จะถูกแสดงขึ้นมา พร้อมกับเส้นทางแนะนำ ซึ่งหากเราโอเคกับเส้นทางนี้ เราก็สามารถกดปุ่ม スタート Start Navigation ที่อยู่ด้านขวาล่างได้เลย

แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว เราจะเลือกกดปุ่มกลางขวา 別ルート  (Alternative Routes) หรือปุ่มทางเลือกอื่นๆ ก่อนเพื่อดูว่ามีเส้นทางอื่นอีกไหมที่จะพาเราไปสู่จุดหมาย ซึ่งมันก็จะพาเรามาสู่หน้าจอต่อไป

Nissan_alterroutes

หน้าที่มีโหมดการเดินทางให้เราเลือก จะมีอยู่ 5 โหมดด้วยกัน

1) AUTO (自動) – เป็นโหมดที่ทาง GPS NAVI จะเลือกให้เองโดยอัตโนมัติ

2) EXPRESS (有料優先) – เลือกเส้นทางที่ใช้เวลาเดินทางน้อยที่สุด

3) NORMAL (一般優先) – เลือกเส้นทางธรรมดา 

4) eco – เลือกเส้นทางที่ประหยัดที่สุด

5) Shortest route (距離優先) – เลือกเส้นทางที่ใช้ระยะทางสั้นที่สุด

เวลาเรากดปุ่มโหมดแต่ละโหมด GPS ก็จะคำนวนเส้นทางให้เราดู รวมไปถึงบอกข้อมูลเวลาที่จะไปถึงที่หมาย ระยะทาง ค่าทางด่วน และจำนวนนาทีที่ใช้ ส่วนสำหรับการเลือก เนื่องจากเราเป็นนักท่องเที่ยว และเวลาก็มีส่วนสำคัญมากในการเที่ยว ฉะนั้นโหมดที่เราแนะนำให้ใช้จะเป็นโหมด 2) EXPRESS (有料優先) – หรือโหมดด่วนที่สุด ใช้เวลาเดินทางน้อยที่สุด ซึ่งโหมดนี้ GPS มักจะเลือกให้ขึ้นทางด่วน (IC) ซึ่งเราสามารถทำความเร็วได้ดี และมี Speed limit ค่อนข้างสูง ซึ่งแน่นอนจะทำเวลาได้ดีกว่าเส้นทางปกติ ซึ่งมักจะมีไฟแดงเยอะมาก

ซึ่งแน่นอนการใช้ทางด่วน มันก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเข้ามา แต่เชื่อเราเถอะ ไม่ต้องไปคิดมาก ยอมจ่ายเงินค่าทางด่วนอีกเล็กน้อย แต่เราจะมีเวลาไปเที่ยวและมีเวลานั่งชิวๆ ในหลายๆ แห่งได้มากโขเลย คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม =)

ซึ่งหลังจากเราเลือกโหมดที่พอใจแล้ว ก็ให้กดปุ่ม  スタート Start Navigation ก็เสร็จเรียบร้อย โรงเรียนไทย พร้อมเดินทางทันที ลุยยยยยยย!

ลุยยยยยย
ลุยยยยยย!

อย่างที่บอกไว้ว่า GPS NAVI ที่แนะนำวิธีการใช้ไปนี้เป็นตัว GPS NAVI ที่ติดอยู่ในรถของ Nissan ซึ่งเหตุผลที่แนะนำให้ใช้เบอร์โทรศัพท์กับ MAPCODE นอกจากง่ายแล้วยังเป็นเพราะว่าตัวแผนที่ (MAP) ของ GPS NAVI บนรถ NISSAN นั้นเป็นภาษาญี่ปุ่น ชื่อ POIs ต่่างๆ ชื่อถนน ชื่อเมือง ล้วนเป็นภาษาญี่ปุ่่นทั้งสิ้น แล้วคนพร่องภาษาญี่ปุ่นอย่างเรา จะรอดไหมเนี้ย

 

ข้อมูล MAP บนรถ Nissan เป็นภาษาญี่ปุ่น

แต่ก็ใช่ว่า GPS NAVI ของรถในญี่ปุ่นจะไม่มีแผนที่ที่เป็นภาษาอังกฤษเลยนะ ที่แน่ใจว่ามีแผนที่ที่รองรับภาษาอังกฤษแน่นอนเลยก็คือ MAP ของรถ TOYOTA

 

TOYOTA GPS
ช้อมูล MAP บนรถ TOYOTA เป็นภาษาอังกฤษ

ฉะนั้นหากว่าเราเลือกที่จะเช่ารถยี่ห้อ TOYOTA นั้น ในการใช้งาน GPS NAVI เนี้ย ก็จะได้เปรียบรถยี่ห้ออื่นๆ พอสมควรเลย เพราะเวลาค้นหาสถานที่ต่างๆ เราสามารถพิมพ์และค้นหาเป็นภาษาอังกฤษ

 

TOYOTA GPS MAP สามารถใช้ภาษาอังกฤษค้นหา POI
TOYOTA GPS MAP – English Input

นอกจากจะมีระบบใส่ข้อมูลและค้นหาเป็นภาษาอังกฤษแล้ว…. ก็ยังมี

 

POI ที่เป็นภาษาอังกฤษ !
TOYOTA GPS MAP – English POIs

ชื่อสถานที่ POIs เป็นภาษาอังกฤษแบบสมบูรณ์……… นอกจากนั้นยังไม่พอ

 

ชื่อถนน หนทาง เป็นภาษาอังกฤษ
TOYOTA GPS MAP – ENGLISH MAP

ชื่อถนนหนทาง และแผนที่ก็ยังเป็นภาษาอังกฤษ…..

 

Screen Shot 2556-09-06 at 6.47.40 PM
TOYOTA GPS MAP – Mostly English Supported

พูดง่ายๆ ก็กว่า 95% เนี้ยของระบบ GPS NAVI บนรถ TOYOTA  ไม่ว่าจะเป็น Interface, เมนู, แผนที่ และอะไรต่อมิอะไร รองรับภาษาอังกฤษ ซึ่งเหมาะสมกับคนต่างชาติที่จะได้งานมากๆ

ตอนนี้ก็อาจจะเกิดคำถามว่า แล้วจะมาพูดถึง GPS NAVI ของ Nissan ทำไมล่ะ? ก็เช่า TOYOTA ไปสิ คำตอบโดนๆ ก็น่าจะเป็น รถเช่าของ Nissan นั้น ราคาถูก กว่าของ Toyota ……… และถูกกว่าพอสมควรเลยทีเดียว 20%-30% ได้ ถ้าเทียบราคาเป็นรุ่นรถ ที่อยู่ใน Class เดียวกัน ซึ่งตรงนี้มันก็แล้วแต่คนนะ ว่าใครจะเลือกสบายใจยอมจ่ายแพง หรือจะประหยัดหน่อยนะ ก็ใช้งานได้เหมือนกัน

ซึ่งหากสรุปเทคนิคการใช้ GPS Navigation ที่ญี่ปุ่น สำหรับรถ (Nissan)

1) ใช้เบอร์โทรศัพท์ในการเลือกสถานที่

2) กด “0” ศูนย์นำหน้าก่อน ค่อยตามด้วยเบอร์โทรศัพท์

3) ให้เลือก Express Mode โดยการขึ้นทางด่วนในทุกๆเส้นทางที่เดินทาง

ส่วนถ้าใครเลือกที่จะเอาสบายแต่ยอมจ่ายแพงเพิม ก็แนะนำให้เลือกเช่ารถยี่ห้อ TOYOTA ไป

♠♣♥♦

แถม Keywords สำคัญในการใช้งาน GPS NAVI ที่ญี่ปุ่นนะ โดยเฉพาะบนทางด่วน เวลาเจอข้อมูลพวกนี้โชว์ขึ้นมาจะได้ไม่งง

–  IC ย่อมาจาก (Interchange) หมายถึง ทางเข้าและทางออกทางด่วน ประมาณ Entry / Exit นั้นเอง

– PA ย่อมาจาก (Parking Area) หมายถึง ที่พักรถตามทางด่วน จะมีห้องน้ำ มีตู้กดน้ำ 

– SA ย่อมาจาก (Service Area) หมายถึง ที่พักรถเหมือนกัน แต่จะเป็นที่พักรถขนาดใหญ่ นอกจากห้องน้ำ ตู้กดน้ำแล้ว ก็จะมีร้านอาหาร บางทีมีให้บริการเก้าอี้นวด แม้แต่สปาด้วย

– ETC ย่อมาจาก (Electronic Toll Collection) หมายถึง Easy Pass แบบของประเทศไทยนั้นเอง ซึ่งรู้สึกว่าจะมีแค่ศูนย์เช่ารถ TOYOTA กับอีกเจ้านึง Nippon (มั้ง) เท่านั้นที่มี ETC ให้ใช้ และต้องจองล่วงหน้าก่อนด้วย ไม่เช่นนั้นก็ต้องจ่ายสดไปแทน

เพราะระหว่างที่เราขับรถอยู่บนทางด่วนระหว่างเมืองเนี้ย GPS NAVI จะมีแจ้งรายละเอียดของที่พักกลางทาง ทางเข้า ทางออกเส้นทางด่วนเป็นระยะๆ ตลอดเวลา ซึ่งเราสามารถที่จะวางแผนได้เลยว่า อูยยยย ปวดฉี่มากเลยอีกกี่นาที/กิโลเมตรนะจะเจอห้องน้ำ!

จริงๆ ตอนแรกว่าจะแนะนำทั้งการใช้งาน GPS NAVI และการเติมน้ำมันด้วยใน Part 3 นี้ แต่ไปๆ มาๆ แค่เขียนเรื่อง GPS NAVI มันก็เยอะพอสมควร ฉะนั้นวิธีการเติมน้ำมันก็ขอเอาไว้เขียนในตอนถัดไปละกัน

Credit **รูป GPS NAVI ของ TOYOTA ต้องขอบใจเพื่อนโอมาก ที่ถ่ายวีดีโอมาให้ แม้จะมือสั่นไปหน่อย แต่ก็ช่วยเราได้เยอะเลย**

Filed Under: Travel Tagged With: GPS, Hokkaido, Road Trip

เที่ยวฮอกไกโด ตอนที่2 (Chitose การขึ้น Shuttle Bus การรับรถ)

August 15, 2013 by Chaiyasit Admin 8 Comments

นับถอยหลังรอวันที่จะได้ไปขับรถท่องเที่ยวญี่ปุ่น อย่างที่ใจฝัน ในชีวิตที่ผ่านมาเรื่องเช่ารถและขับรถเที่ยวในต่างประเทศนั้น เคยแค่ครั้งเดียวเองเมื่อหลายปีที่แล้ว ณ ประเทศนิวซีแลนด์ เพียงแต่ว่าตอนนั้นเราไม่ได้เป็นคนจัดการดูแลวางแผนเรื่องการท่องเที่ยวเลย ได้รับคำสั่งมาอย่างเดียวว่าให้เตรียมใบขับขี่สากลไว้พอ จะได้เผื่อช่วยพี่ๆเขาขับรถ ฉะนั้นเรื่องประสบการณ์จองรถ เช่ารถ เลือกรถ วางแผนการเดินทาง อะไรก็แล้วแต่นั้นเรียกได้ว่า “ศูนย์” มาทริปเที่ยวญี่ปุ่นที่ฮอกไกโดนี้แหละ ที่จะเป็นครั้งแรกที่เราเป็นคนจัดการดูแลเส้นทางการเดินทาง โปรแกรมเที่ยว ร้านอาหาร โรงแรมที่พัก สัพเพเหระเอง ก็สนุกดีน่ะ ค้นคว้าเองอะไรเอง แถมสมัยนี้ข้อมูลอะไรก็หาได้ไม่ยาก  ด้วยที่ว่าข้อมูลบนโลกอินเตอร์เนตนั้นมีอยู่เยอะ มากมาย และมหาศาล ส่วนที่ยากก็จะเป็นการกลั่นกรอง หากข้อมูลที่มีประโยชน์และเหมาะสมกับตัวเราเองเสียมากกว่า

อย่างที่เล่ามาว่าทริปขับรถเที่ยวญี่ปุ่นคราวนี้ เราจะเริ่มต้นจากสนามบิน New-Chitose รับรถเสร็จก็จะขับรถเดินทางต่อไปยังเมือง Furano และไปแวะกินอาหารเที่ยงในเมือง ซึ่งเป็นร้านอาหารในละครซี่รี่เกาหลีเรื่อง Love Rain ที่จางกึนซอก กับยุนอา SNSD เล่นด้วยกัน ถ้าคนที่ดูซี่รี่เรื่องนี้น่าจะจำฉากในตอนแรกๆ ได้ดีที่ว่า พระเอกกับนางเอกเพิ่งได้เจอกัน และสุดท้ายได้ไปกินข้าวแกงกระหรี่ในเมือง Furano นั้นแหละจุดหมายปลายทางแรกของเราก็จะคือที่ร้านแกงกระหรี่นั้นเอง (นี่มันตามรอยซี่รี่ แดจังกึม ชัดๆ)

LOVE RAIN CURRY
Yuigadokuson (“唯我獨尊” )

การรับรถ

แต่ก่อนที่จะเล่าไปถึงการเดินทางเรามาเข้าเรื่องการรับรถก่อนดีกว่า และสิ่งที่ควรรู้สำหรับการ เช่ารถ ขับรถ เที่ยวญี่ปุ่น ณ ฮอกไกโด นี้ก็คือ ศูนย์เช่ารถต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Toyota, Nissan, JR, หรือที่ไหนก็ตามแต่ มันไม่ได้อยู่ในตัวสนามบิน New-Chitose (CTS) นะ แต่มันจะอยู่ห่างจากสนามบินไปเล็กน้อย แต่…. แต่….. มันเป็นระยะทางที่ไม่ควรเดิน ฉะนั้นเราก็ต้องพึ่งพา Shuttle Bus เพื่อที่จะพาเรารวมทั้งเหล่าสมาชิกและสิ่งของกระเป๋าสัพเพเหระทั้งหลายเพื่อไปยังบริษัทเช่ารถแต่ละแห่ง

ฉะนั้นหลังจากที่เราผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย เพื่อจะเดินทางไปรับรถ ให้เราเตรียมเอกสารดังนี้

1) Passport

2) ใบขับขี่ตัวของไทย (ต้องพกไปด้วยนะ)

3) ใบขับขี่สากล (ต้องพาไปด้วยแน่นอน)

4) ใบจองรถ

และลงไปที่ชั้นล่างของสนามบิน ชั้น 1F ซึ่งจะเป็นทางยาวๆ ด้านซ้ายด้านขวา จะเป็นที่จอดรถรับส่งรถบัส และเดินตรงตามทางไปเรื่อยๆ จนพบกับ Transportation Information Center แล้วให้เราแจ้งเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการไปรับรถเช่าของเรา ทางเจ้าหน้าที่เขาจะติดต่อบริษัทเช่ารถนั้นๆ ให้เพื่อที่จะส่งรถ Shuttle Bus มารับเรานั้นเอง โดยปกติน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 10-15 นาที สำหรับ Shuttle Bus

 

1-IMG_0044
พนักงานสาว ยื่นเอกสารใบจองรถให้อีกฉบับนึง

นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ เขาจะให้เอกสารการเช่ารถเรามา 1 ชุด เพื่อที่จะให้เราเอาไปยื่นกับบริษัทเช่ารถที่เราจองรถมา ซึ่งภายในเอกสารนี้จะมีหมายเลขคิว มาให้ด้วย (เอาจริงๆ ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่ามันคือหมายเลขคิว)

รอสักครู่นั้นไง รถ Shuttle Bus ของ Nissan มาแล้ว ที่ญี่ปุ่นเขาตรงต่อเวลามาก ถ้าเขาบอกว่า 10 นาที นี้เขาก็หมายถึง 10 นาทีจริงๆนะ ไม่ได้มี 10 นาทีนิดๆหน่อยๆ เหมือนบ้านเรา

 

1-IMG_0051
รถบัสของนิสสันมารับแล้ว

เราก็รีบแบกลากกระเป๋าสัมภาระ ของเราขึ้นรถ ลุงคนขับหน้าตาใจดี ก็จะมาช่วยยกกระเป๋าให้ นี้แหละคนญี่ปุ่นเรื่องจิตใจบริการนี้ต้องยกให้เขาเลย

ขึ้นมาเสร็จก็ตกใจเล็กน้อย ทำไมเขาส่งรถบัสคันใหญ่มารับเรากรุ๊ปเดียวหรือนี้ ประมาณรถบัสทั้งคันให้นายคนเดียวเลย แต่พอนั่งไปได้สักพักนึง ก็ถึงบางอ้อ เพราะแทนที่รถจะขับตรงไปที่ศูนย์เช่ารถ เขาขับไปแวะรับคนญี่ปุ่นอีกหลายกรุ๊ปที่ Chitose Domestic Airport ก่อน แล้วค่อยพาเราไปส่งที่ศูนย์เช่ารถ Nissan

 

1-IMG_0056
ครอบครัวชาวญี่ปุ่นที่เดินทางไปศูนย์เช่ารถนิสสันเช่นกัน จาก Domestic Airport

ถึงแล้วววววววว ลงจากรถบัสเสร็จก็รีบเข้าไปในศูนย์ ด้วยความที่ไม่เคย ก็พยายามเดินหาตู้กดรับบัตรคิว เดินไปเดินมา สองรอบก็แล้วก็ยังหาตู้ไม่เจอ เอ่ะ ความคิดมันก็ผุดขึ้นมาในหัว แล้วมันจะรู้ได้ยังไงฟ่ะ ว่าเรามาถึงแล้ว ก็เลยแสดงความเป็นกระเหรี่ยง เดินเข้าไปถามพนักงานหลังเคาเตอร์ และด้วยที่พูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้เลย ก็เลยได้แต่ใช้ภาษามือพร้อมชูเอกสาร พนักงานมันก็มองหน้ากลับมาแล้วใส่ภาษาญี่ปุ่นชุดกลาง พร้อมผายมือเชิญไปที่นั่ง ….

 

1-IMG_0058
เคาเตอร์ทยอยเรียกทีละคิว

กระเหรี่ยงอย่างเราไม่เข้าใจที่เขาพูดหรอก เข้าใจแค่ว่า เออ นั่งก็ได้ฟ่ะ บัตรคิวก็ยังไม่มี …….. หลังจากจ่อก้นลงที่นั่งไปได้สักพักสายตาก็เริ่มสอดส่องมาในเอกสารที่พนักงานสาวจาก Transportation Information Center เขาให้เรามา ก็เจอหมายเลขที่จิตใต้สำนึกเริ่มจะฉุกคิดได้ว่า มันน่าจะเป็นหมายเลขคิวแหละ พอฉุกคิดได้อย่างนั้น ความกระเหรี่ยงของเราก็ลดระดับลงจนเหลือ “ศูนย์” พร้อมนั่งนิ่งๆเรียบร้อย 😀

นั้นไงล่ะ รอไปได้สักคิวสองคิว หมายเลขบนเอกสารนั้นก็ บลิ๊งๆ ขึ้นอยู่บนหน้าจอ พร้อมบอกหมายเลขเคาเตอร์ที่เราจะต้องเข้าไปติดต่อ เรา ไม่รอช้ารีบเข้าไปทันที พร้อมเอาเอกสารต่างๆ ให้พนักงานตรวจสอบ ในใจก็ลุ้นว่า รถคันไหนนะ ที่จะได้เป็นรถแห่งความโชคดี ที่จะมาเป็นเพื่อนคู่ใจในทริปขับรถเที่ยวญี่ปุ่นของเราคราวนี้

ระหว่างรอพนักงานเขาก็มีเอกสาร 2-3 อย่างมาให้เราเซ็นชื่อ เท่าที่อ่านดูจะเป็นเอกสารเกี่ยวกับเรื่องประกันอุบัติเหตุ เรื่อง N.O.C. รวมทั้งเอกสารที่แจ้งว่า ถ้าหากเราทำผิดกฏจราจรของฮอกไกโด และถูกปรับ ถูกใบสั่ง ถูกล็อคล้อ ต่างๆนาๆ เราจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายและค่าดำเนินการต่างๆทั้งสิ้น

นอกจากนี้ก็จะเป็นการรูดปรื้ดดด บัตรเครดิตก่อนเพื่อเป็นการการันตีค่าเช่ารถ

หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องเอกสาร ก็ถึงเวลาที่พนักงานจะพาเราไปชมและตรวจรถที่สุดแสนจะโชคดี ที่จะได้มาเป็นเพื่อนการเดินทางของเรากัน

 

1-IMG_0060
หรือว่าคันนี้ ! Nissan Cube… ไม่ใช่ล่ะ แต่สวยและดูดีมาก น่าขับสุดๆ
1-IMG_0065
คันนี้ต่างหากๆ และพนักงานกำลังง่วนสอนฟังชั่นเบื้องต้นของรถ

พนักงานก็จะสอนวิธีการใช้รีโมทรถ การเปิดปิด GPS การขยับเบาะหลัง อะไรต่างๆ พร้อมบอกข้อมูลบนหน้าปัดรถอะไรต่างๆนานา เป็นภาษาญี่ปุ่น ……… และเราก็กระเหรี่ยงคนไทยอยู่แล้ว คิดว่าจะสนใจฟังรึ เราก็เดินตรวจสภาพรถก่อน ว่ามีรงมีรอย อะไรตรงไหนไหม ตรวจกระจกมีรอยร้าวหรือเปล่า เช็คไฟเลี้ยว ไฟหน้า ไฟหรี่ทุกอย่าง ว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดีพร้อมใช้งาน และสุดท้ายเช็คน้ำมันว่าเต็มถังรึเปล่า เพราะสุดท้ายเวลาเราเอารถมาคืน ตามมารยาทและสิ่งที่พึงกระทำก็คือ เราต้องเติมน้ำมันกลับมาอย่างเต็มถังเช่นเดียวกัน

หลังจากตรวจรถเรียบร้อย รถ Nissan Cube คันนี้ก็อยู่ในกำมือเรา และพร้อมออกเดินทางไปยัง Furano ได้แล้ว !

 

สรุปสำหรับ Road Trip in Hokkaido Part2 ทริปเช่ารถ ขับรถ เที่ยวญี่ปุ่น (ฮอกไกโด) ไม่ง้อทัวร์ ตอนที่2

– นอกจากใบขับขี่สากล แต่ใบขับขี่ไทยต้องใช้ด้วยนะ

– ศูนย์ติดต่อรถเช่า (ทุกยี่ห้อ) ที่ New-Chitose Airport อยู่ที่ชั้น 1 (Transportation Information Center)

– ต้องเผื่อเวลา Shuttle Bus และเวลาดำเนินเอกสารตอนจะรับรถ 1 ชม. ขั้นต่ำ

– ตรวจสภาพรถให้แน่ใจว่า ไม่มีรอยใดๆ รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ นั้นใช้งานได้

 

แนะนำ: คู่มือการขับรถในฮอกไกโด ภาษาไทย Download Here (น่าจะอ่านสักรอบก่อนการเดินทางนะ)

credit: Japan National Tourism Organization

1-IMG_0069-001

 ใช้ GPS ครั้งแรก นั่งกดมั่วอยู่เกือบ 15 นาทีกว่าจะได้ออกรถ lol

ตอนหน้าจะเกี่ยวกับเทคนิคการใช้งาน GPS แบบเบื้องต้นและการเติมน้ำมัน

แถมแผนที่บอกระยะทาง ถนนสายหลัก ถนนทางด่วน รวมทั้งระยะเวลาคร่าวๆ (เป็นประโยชน์ในการวางแผนการเดินทางมากๆ)

 

hokkaido_distances_map

 

Credit: www.hokkaidoguide.com

 

Filed Under: Travel Tagged With: Chitose, New-Chitose, ญี่ปุ่น, ฮอกไกโด, เช่ารถ

เที่ยวฮอกไกโด ตอนที่1 (การเตรียมตัว การเลือกรถ การเช่ารถ)

August 13, 2013 by Chaiyasit Admin 4 Comments

ชีวิตมันก็เริ่มต้นง่ายๆ และใครๆก็รักอิสระ แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ใกล้ตัวเช่นเรื่องกิน และประโยคคำถามที่ได้ยินกันบ่อย “เย็นนี้กินอะไรกันดี” แม้คำตอบที่ได้ยินกลับมาจะเป็นคำตอบง่ายๆ “อะไรก็ได้” แต่สุดท้ายชีวิตมันก็จะมีอะไรที่ Complicated เสมอ “งั้นกินโอโตยะไหม?” เพราะจิตใจที่รักอิสระ “ไม่เอาอะ โอโตยะ กินฟูจิละกัน” นั้น….. อิสระหรือเอาแต่ใจ

ฉะนั้นเรื่องใหญ่ยิ่งยวดสำหรับเราก็เช่นกัน ใครๆก็ชอบที่จะมีอิสระ จะไปไหน จะหยุดที่นั้น จะกินที่นี้ จะนอนก่อน หรือจะผ่านไป ไม่เอาล่ะน่าเบื่อชิบ สุดแสนจะอิสระแบบนี้คงหาไม่ได้กับการเที่ยวแบบทัวร์ ซึ่งจะได้ยินคำวลีดังก้องในหูเสมอๆ ดังเช่น “พรุ่งนี้ 6 7 8 ล้อหมุนนะค่ะ”, “มีเวลาให้ลงไปถ่ายรูป 15 นาที แล้วรีบกลับขึ้นรถนะค่ะ”, “อาหารเปลี่ยนไม่ได้นะค่ะ ถ้าจะสั่งพิเศษต้องจ่ายต่างหาก”, “มีเวลา 2 ชั่วโมงให้ทุกท่านช็อปปิ้งอย่างหนำใจ แล้วมาเจอกัน 6โมงนะค่ะ นัดร้านอาหารไว้แล้ว” เอ่อ คือช็อปปิ้ง 2 ชม. นี้คือจุใจรึ วิ่งหาร้านซื้อของตามใบสั่งก็หมดแล้ว ของตัวเองอย่าเพิ่งหวังเลย!

หลังจากวางแผนอย่างดิบดีในการจะไปเที่ยวญี่ปุ่น ซึ่งคราวนี้เลือกที่จะไปเที่ยวชมสวนดอกไม้ลาเวนเดอร์อันลือชื่อเป็นหลักใหญ่ จุดหมายคงเป็นไปอย่างอื่นไม่ได้นอกจากว่าเราจะไปเที่ยวเกาะฮอกไกโด  ซึ่งเป็นเกาะเหนือของญี่ปุ่น มีพื้นที่กว้างใหญ่แต่มีประชากรอยู่ราวๆ 6ล้านคนเท่านั้น ถือว่าน้อยมากๆนะหากเทียบจำนวนประชากรในแต่ละเมืองของญี่ปุ่น

เดินทาง 21 กรกฏาคม กลับ 2 สิงหาคม ถ้าไม่นับวันไปวันกลับเที่ยวจริงๆก็ 11วันเต็มๆ ได้วางทริปเดินทางคร่าวๆประมาณนี้

Chitose -> Furano -> Biei -> Asahikawa -> Otaru -> Shakotan -> Niseko -> Toya -> Hakodate -> Noboribetsu -> Sapporo -> Chitose

การจะเที่ยวญี่ปุ่นเองโดยการไม่พึ่งทัวร์นั้นหลักๆก็จะมีอยู่ 2 ทางเลือก คือ

1) พึ่งรถไฟ ซึ่งครอบคลุมไปเกือบทุกเมืองในญี่ปุ่น

2) ขับรถเอง

ก็เลยต้องรีบค้นคว้าหาราคาของ JR Pass ซึ่งในฮอกไกโดเขาเรียกว่า Hokkaido Rail Pass

 

Hokkaido Rail Pass
Type
Ordinary Cars
Green Cars
3 Day Pass
15,000 yen
21,500 yen
5 Day Pass
19,500 yen
27,000 yen
7 Day Pass
22,000 yen
30,000 yen
Flexible 4 Day Pass
19,500 yen
27,000 yen
Reduced rates (50% off) apply to children aged 6-11.

(รูปและราคาดึงมาจากเวป http://www.japan-guide.com/e/e2361_01.html)

 

 

ถ้าจะเที่ยวญี่ปุ่น 11 วัน ถ้าจะคิดง่ายๆไม่อะไรมาก จะให้  Hokkaido Rail Pass มันครอบคลุมก็ต้องซื้อแบบ 7วัน + 3วัน (22,000 + 15,000) ก็ตก 37,000 เยนต่อคนไม่รวมค่ารถบัสบางแห่งที่ ไม่รวมอยู่ใน Hokkaido Rail Pass และก็ไม่รวมการเดินทางไปกลับสนามบิน Chitose เช่นกัน  ส่วนทริปนี้เราจะไปกัน 4 คน 37,000 x 4 ก็ 148,000 เยน ซึ่งจะเป็นแค่ค่าเดินทางหลัก แถมนั่งดูคร่าวๆแล้วรถไฟจะไปไม่ถึง Shakotan อีกต่างหากซึ่งจะอยู่ทางตะวันตกของ Otaru ไปอีก ซึ่งแน่นอนถ้าจะเลือกเดินทางสายรถไฟ รถบัสก็จะเป็นการเดินทางเสริม (พอคิดอย่างงี้ ความขี้เกียจก็เริ่มบังเกิด) ฟันธงไปเลยว่าเราคงต้อง ขับรถ เที่ยวญี่ปุ่น น่าจะดีกว่า

ก็รีบเริ่มต้นค้นคว้าเกี่ยวกับการเช่ารถและการขับรถเที่ยวญี่ปุ่นเองโดยทันที แล้วก็พบเวปไซต์เช่ารถของญี่ปุ่นที่ราคาค่อนข้างถูก http://www2.tocoo.jp

 

tocool
เลือก Search by Airport

 

เข้ามาตอนแรกก็งงๆเล็กน้อย แต่ก็เลือก Search by Airport ไปไม่คิดมากและถัดมาก็เลือก New-Chitose (CTS) เพราะการบินไทยเราบินตรงไปยังสนามบินแห่งนี้

 

ให้เลือกบริษัทรถ
ให้เลือกบริษัทรถ

 

ที่สนามบิน Chitose มีบริษัทที่ให้บริการเช่ารถอยู่ 7 แห่ง เท่าที่นั่งไล่กดดูราคาของรถเช่าของแต่ละบริษัท ซึ่งก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลเลยว่าอยากได้รถรุ่นไหนขับ ซึ่งแนะนำว่ามีสิ่งที่ต้องคำนึงหลักๆ อยู่ 2 เรื่องคือ

1) จำนวนผู้โดยสาร

2) พื้นที่เก็บสัมพาระ (Trunk Space)

รถบางรุ่นจุคนได้เยอะ แต่พื้นที่สัมพาระน้อยมาก อาจจะไม่พอกระเป๋าที่แต่ละคนแบกกันไปเตรียมซื้อของฝากกลับเมืองไทยกันไม่ไหว ซึ่งเท่าที่ทราบหากเราเลือกรุ่นรถที่ไม่เหมาะสมกับจำนวนคนและกระเป๋า หากไปถึงวันรับรถแล้วเรายัดจุคนทั้งกระเป๋าเข้ารถไม่ได้ ทางบริษัทเขาจะไม่รับผิดชอบนะ แล้วก็ไม่รับปากว่าจะมีรถเปลี่ยนให้ด้วย ฉะนั้นต้องทำการบ้านดีดีหน่อย โดยตรวจสอบขนาดรถ และที่สำคัญขนาดของที่เก็บสัมพาระข้างหลัง ซึ่งทริปนี้จริงๆ ก็แอบมีรุ่นรถที่อยู่ในดวงใจแล้ว 2 รุ่นที่อยากลองขับ แล้วเท่าที่เทียบราคาค่าเช่าแล้วค่อนข้างจะถูกกว่ารถยี่ห้ออื่นๆพอสมควร

** แนะนำถ้าหากสนใจรถเช่าของนิสสัน Nissan สามารถเข้าไปตรวจสอบข้อมูลรถและที่สำคัญขนาดของที่เก็บสัมพาระได้ค่อนข้างชัดเจน  https://nissan-rentacar.com/english/vehicles-rates/passenger/

หวยที่ออกรถในดวงใจสำหรับทริปขับรถเที่ยวญี่ปุ่นรอบนี้คือ Nissan Cube นั้นเอง หลังจากค้นคว้าพยายามสอดส่องรถ Cube ที่ขับผ่านเราไปมาบนท้องถนน รวมถึงนั่งกดดูรีวิวรถบน Youtube เพื่อเช็คและให้แน่ใจว่าขนาดรถเพียงพอสำหรับ 4 คน และพอจุกระเป๋าขนาดกลางได้ 4 ใบ

 

เลือกรุ่นรถ
เลือกรุ่นรถ

 

ขนาดที่วางสัมภาระ credit http://wwwnissan-rentalcar.com

 

หลังจากตกลงปลงใจเลือกรถแห่งอิสระ ในการขับรถเที่ยวญี่ปุ่นได้แล้ว ก็ให้กดที่ปุ่ม Rental Charge & Reservation กันเลย ซึ่งก็จะเป็นการคำนวนค่าเสียหายในการเช่ารถคร่าวๆ แล้วล่ะ ลุ้นเล็กน้อยว่าจะราคาแพงกว่าหรือถูกกว่าการใช้ Hokkaido Rail Pass

 

คำนวนค่าเสียหายแบบคร่าวๆ
คำนวนค่าเสียหายแบบคร่าวๆ

 

ตามภาพก็เลือกช่วงเวลาก่อน บนสุด July 01, 2013 – Mar 31, 2014

แล้วก็วันที่จะรับรถ และวันที่จะคืนรถ ซึ่งตรงนี้แนะนำว่าวันรับรถถ้าบินด้วยสายการบินไทย เครื่องจะลงที่ Chitose ประมาณ 8 โมง ซึ่งกว่าจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง กว่าจะรอกระเป๋า กว่าจะได้ออกมาก็ราวๆ 9 โมง ฉะนั้นจะใส่ 9โมง หรือ 9โมงครึ่งก็สบายๆ  ในรูปใส่แบบเผื่อๆไว้ที่ 10โมงเช้า ส่วนวันส่งรถแนะนำให้เลือกไว้ 8 โมงเช้า ตั้งแต่ศูนย์เปิดเลย เพราะว่าจะได้มีเวลามาช็อปต่อที่สนามบินได้ไง ของอร่อยของฝากเยอะแยะ มาให้เผาเงินเยนไม่ให้เหลือกลับบ้านกันทีเดียว

หลังจากกรอก 2 ส่วนบนเสร็จก็กดปุ่ม Stimulate ทันที ราคาค่าเช่ารถแบบคร่าวๆ ก็จะโชว์ขึ้นมาให้เห็น ไม่ต้องไปสนใจฝั่งขวา ดูแค่ฝั่งซ้ายบรรทัดล่างสุดก็พอที่ 77,385 เยน 

เห็นราคาแล้วก็เหมือนปลากระดี่ได้น้ำ รีบกด Time System ต่อทันที เพื่อไปกรอกแบบฟอร์มการจองรถ

 

tocool_4_reservation

 

แบบฟอร์มการจองรถก็กรอกไปตามข้อมูลที่เรามี ส่วนสำคัญที่น่าสนใจก็จะเป็นส่วนประกันภัย

Immunity Insurance <- ประกันอุบัติเหตุของรถ ว่าครอบคลุมอะไรบ้าง

N.O.C. <- ประกันส่วนค่าเสียโอกาสของบริษัท ในกรณีรถเสียหรือเกิดอุบัติเหตุแล้วใช้งานไม่ได้

ถ้าใครมั่นใจว่าขับแล้วไม่กลัวอุบัติเหตุก็ไม่ต้องติ๊กก็ได้ แต่เราขี้เกียจไปคิดมากมันติ๊กมาให้แล้วก็เลยตามเลย (ง่ายไปไหม?)

English Speaking GPS <- ควรจะติ๊ก เพราะสำคัญกับเราๆ ภาษาญี่ปุ่นอ่อนแอ จะมาใช้ภาษาใบ้กับ GPS ก็คงจะคุยกันไม่รู้เรื่อง

Drivers License <- ไปสมัครใบขับขี่สากลได้ที่กรมขนส่งทางบกเลย ใช้ได้ในหลายๆประเทศรวมไปถึงประเทศญี่ปุ่น เสียตัง 500 มั้งถ้าจำไม่ผิด รอไม่ถึง 10 นาทีได้แล้วง่ายมาก ไม่ต้องสอบอะไรเพิ่มเติม ขอแค่มีใบขับขี่ของประเทศไทยอยู่เป็นพอ

Special Requests <- บางทีเวลาเราจองรถเนี้ย แนะนำให้ใส่เลือกรุ่นที่เราอยากได้เข้าไปในช่องนี้อีกรอบ อย่าง Nissan Class P-3 เนี้ยรูปใช้ Nissan Cube อยู่แล้ว แต่บางทีมันอาจจะมีรถรุ่นอื่นๆ ที่ไม่ใช่ Cube อยู่ใน Class เดียวกันก็ได้  เขาอาจจะบอกไม่การันตีรถให้ได้ว่าจะได้รุ่นไหน แต่ใส่ Special Request ไปก็กันเหนียว ใส่ไปก็ไม่เสียหายอะไรหนิ

ส่วนข้างล่างก็ติ๊กๆไปให้หมด เกี่ยวกับ Terms&Conditions ทั้งหลาย (แต่อ่านหน่อยก็ดีนะ)

 

สุดท้ายหลังจาก Confirm ไปสักพักก็จะได้ Confirmation Email กลับมา อาจจะดูกากๆ หน่อยแต่ไม่ต้องกังวลใช้รับรถได้จริงๆ

 

อีเมล์คอนเฟิร์ม
อีเมล์คอนเฟิร์ม

 

ส่วนเงินค่าเช่ารถจะยังไม่ถูกตัดบัตรนะ แต่จะต้องไปคอนเฟิร์มยืนยันบัตรอีกทีในวันที่รับรถ

อีกเหตุผลนึงที่เลือกเช่ารถ และขับรถเที่ยวเล่นที่เกาะฮอกไกโดเพราะว่า กังวลเรื่องเวลารอบเดินทางของรถไฟและรถบัส รวมไปถึงขี้เกียจแบกกระเป๋า จากประสบการณ์เที่ยวญี่ปุ่นมาเมื่อปีที่แล้ว บางทีเราได้ไปพักในเรียวกังอย่างดี ที่แบบเฮ้ย อยากจะใช้เวลากับเรียวกังนี้อีกสักหน่อย แต่ด้วยเหตุเวลาของรอบรถไฟหรือรถบัส ก็ต้องตัดใจรีบออกจากที่พัก มันไม่ค่อนฟินส์เท่าไหร่  และที่สำคัญคือเรื่องกระเป๋า เอ้าคิดดูแบกกระเป๋าขึ้นรถบัส แบกขึ้นรถไฟ ถ้าไม่อยากแบกก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มจ้าง บริษัทรับส่งกระเป๋าระหว่างเมือง ต้องไปวิ่งหา Locker ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ปวดเฮดและปวดหลังจริงๆ และข้อจำกัดนี้จะหมดไปทันทีถ้าเราเลือกที่จะขับรถเที่ยวญี่ปุ่นเอง

 

วันรับรถกับ Nissan Cube =)
วันรับรถกับ Nissan Cube =)

 

จบแล้วภาคแรกสำหรับ Hokkaido Road Trip Part1 ขับรถเที่ยวตะลุยญี่ปุ่น เกาะฮอกไกโด ไม่ต้องง้อทัวร์ เช่ารถเองง่ายๆ ตอนที่1

 

สรุปตอนที่ 1 สาระสำคัญ

– เลือกรถที่เหมาะสมกับจำนวนคน

– ประเมินจำนวนกระเป๋าสัมพาระให้ดี สำคัญมากสำหรับการเช่ารถ และเลือกหารถที่เหมาะสม

– English Speaking GPS นั้นจำเป็นมากสำหรับการท่องเที่ยว

– ก่อนทำการจองรถ ต้องสรุปแผนการเดินทางให้ลงตัว จะรับรถที่ไหน และส่งคืนรถที่ไหน

 

มาต่อกันเลยกับ ตอนที่2 ขับรถเที่ยวตะลุยญี่ปุ่น เกาะฮอกไกโด ไม่ต้องง้อทัวร์ เช่ารถเองง่ายๆ 

 

 

 

Filed Under: Travel Tagged With: Hokkaido, การเช่ารถ, การเลือกรถ, ญี่ปุ่น, ฮอกไกโด

Marrakesh Huahin Resort & SPA รีสอร์ตใหม่ แปลกดี น่าลอง

March 12, 2012 by Chaiyasit Admin 1 Comment

<

ควันหลงทิ้งช่วงไปเกือบเดือน เพิ่งจะได้มีโอกาสมาเขียนบันทึกความประทับใจกับรีสอร์ตใหม่ (เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อพฤศจิกายน 2554)

.

 Marrakesh Hua Hin Resort & SPA : Journey Of Mystic Hideaway 

<

<

เนื่องด้วยจากงานไทยเที่ยวไทยปีที่แล้ว ได้ไปสอย Voucher รีสอร์ตนี้มาแบบ 3 วัน 2 คืน ซื้อมาแบบงงๆ ประมาณรู้แค่ว่าเป็นรีสอร์ตใหม่ ยังสร้างไม่เสร็จ แล้วมีอ่าง Jacuzzi ให้ก็เลยจัดไปแบบเบลอๆ สุดท้ายก็นัดแนะกับเพื่อนเรียบร้อย ล้อหมุนไปเจอะเจอกันที่ Marrakesh Huahin

รอบนี้ตั้งใจมาที่ Marrakesh เร็วเป็นพิเศษก็ตั้งแต่ 11 โมงเช้าได้ โดยแอบหวังเล็กๆว่าจะได้ใช้ Facility ให้คุ้มหน่อยเพราะห้องพักราคาก็ไม่ได้ถูก เรทราคานี้ก็เหยียบครึ่งหมื่นต่อคืนได้เลย ก่อนเข้ามาที่ Marrakesh เพื่อไม่ให้เสียเที่ยวก็มีโทรมาถามที่รีสอร์ตก่อนว่าห้องที่จองไว้พร้อมที่ยังโดยได้คำตอบว่า “ให้ลองเข้ามาดูก่อน” เจอแบบนี้มึนๆเล็กน้อยแต่ก็ไม่ขัดศรัทธาครับ ตรงบึ่งเข้าไปเลย =)

ตัวรีสอร์ตเองจะอยู่บนติดถนนใหญ่เพชรเกษม จะอยู่ฝั่งเดียวกับ Marriott และอยู่เลย Intercontinental มาเล็กน้อยแล้วอยู่ทางด้านซ้ายครับ ต้องบอกก่อนว่าตัว Marrakesh รีสอร์ตนี้จะอยู่บริเวณเดียวกับ Marrakesh Residences (คอนโด) นั้นเองโดยจะมีแยกโซนไม่ให้แขกทางฝั่งโรงแรมไปยุ่งกับทางฝั่ง Residences โดยเมื่อเลี้ยวรถตามป้าย Marrakesh เข้ามาความรู้สึกแรกเลยก็คือ ความรู้สึกอึดอัด เล็กน้อยรู้สึกว่าตึกด้านขวาที่เป็นส่วนของ Residences มันบีบแล้วปิดพื้นที่ไปเยอะเหลือทางเดินรถประมาณ 1 เลนท์ครึ่งให้ตรงเข้าไปโซนโรงแรมโดยด้านซ้ายจะเป็นที่จอดรถแบบจอดเข้าซองได้ซองละ 1 คันเรียงยาวประมาณ 100 เมตรก็จะเข้าไปถึงโซนโรงแรม

<

<

อันนี้เป็นรูปทางเข้าไปโซน Residences รวมไปถึงที่จอดรถในตึก เราเป็นแขกโรงแรมต้องจอดด้านนอกไป แต่ก็ไม่เป็นไรเราไปถึงแต่เช้ารถที่จอดก็ยังไม่เยอะมาก ก็ทำการลงกระเป๋าแล้วเดินเข้ามาที่ Lobby ด้านใน ค่อนข้างจะโอ่โถงเลยทีเดียว เป็นลักษณะเพดานสูงให้ความรู้สึกสไตล์ยุโรปตะวันออกโมรอคโกอะไรประมาณนั้นสุดๆ

<

Lobby

 

ระหว่างนั่งรอเจ้าหน้าที่เขาเช็คอินห้องให้ เราก็มันนั่งชิวรอพร้อมรับ Complimentary Welcome Drink มาคนละแก้ว

จำไม่ได้ว่าเป็นน้ำอะไร แต่ก็เย็นชื่นใจดีครับ ก็นั่งรอไปมองวิวไปสักพักนึง ทาง Lobby ก็แจ้งว่ามีห้องที่จองไว้กำลังทำความสะอาดอยู่ใกล้จะเสร็จแล้ว ให้รอสักครู่

 

เราก็สบายๆ มาถึงตั้งแต่ก่อนเที่ยงแหนะ มาเร็วแบบนี้รอนิดหน่อยก็โชคดีแล้ว แล้วสักพักก็มีเจ้าหน้าที่พาเราเข้าไปที่ห้อง

ห้องที่เราจองไว้เป็น Jacuzzi Suite  ชื่อฟังดูเท่ห์หรูหราดี แต่อยากจะบอกว่าเป็นห้องที่ราคาถูกที่สุดแล้ว เหอๆ

<

<

<

<

ถ้าเป็นห้องที่ระดับสูงกว่านี้ก็จะเป็นห้องแบบ Fountain Pool Suite, Ocean Front Suite และ Celestial Suite

แต่ละห้องชื่อฟังดูไฮโซมาก เราตังไม่ค่อยมีก็อยู่แค่ Jacuzzi Suite ก็พอ ^o^

มาดูกันดีกว่าว่า Jacuzzi Suite ที่ Marrakesh Resort & SPA นี้หน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง

<

Jacuzzi Suite – Marrakesh

เปิดประตูเข้ามา จะพบว่าห้องจะมีอยู่ 3 ส่วนหลักๆ

 

 

ส่วนแรกก็จะเป็นห้องน้ำห้องแต่งตัวแล้วก็จะเป็นส่วน In-Room Bar ซึ่งก็คือด้านขวาและซ้ายมือของรูปเลย

ส่วนที่สองก็จะเป็นส่วนห้องนอนครับ และส่วนสุดท้ายก็จะเป็นส่วนระเบียงที่มีไฮไลท์ของห้องนี้อยู่ก็คือ อ่าง Jacuzzi แบบ Outdoor 😀

 

 

 

 

 

 

 

.

<

In-Room Bar

.

ฬฬ

No Rain Shower

โดยส่วนตัวเป็นคนที่เวลาไปพักที่ไหนก็จะชอบไปสำรวจห้องน้ำก่อน แอบโรคจิตเล็กน้อย พอมาที่ Marrakesh ก็แอบ FAIL พอสมควร เมื่อพบว่าห้องน้ำค่อนข้างเล็กมาก แถมห้องอาบน้ำกับห้องส้วมก็แยกกัน ต้องเดินผ่านกลางห้องก่อนถึงจะเข้าได้ ตัว Shower เองก็เป็นฝักบัว Shower ธรรมดานะ ไม่ใช่ Rain Shower ที่กำลังฮิตอีกต่างหาก

.<

 

 

 

 

 

 

.

 

ทีนี้ก็มาดูต่อว่าโซนห้องนอนจะเป็นอย่างไรบ้าง

ห้องที่เราได้พักเป็นห้องแบบ Single Bed นะครับเตียงใหญ่มากขอบอก นุ่มมากด้วย ขอเรียกว่ามันคือ “เตียงดูดวิญญาน” เพราะเมื่อเอนตัวนอนลงไปแล้วก็รู้สึกว่าตัวเราถูกดูดลงไป ถ้าไม่ได้คนอื่นช่วยดึงขึ้นมาก็คงลุกได้ยาก 😛

.

 .<

ส่วนด้านขวาก็จะเป็นส่วน 2nd Bed ครับที่เอาไปเอนพิงนอนชิวๆ อ่านหนังสือหรือดูทีวีอะไรก็ว่าไป

.

 .

และส่วนปลายหมอนของ 2nd Bed นั้นก็จะมีช่องต่างๆ ที่เอาต่ออุปกรณ์เสริมเพื่อเชื่อมต่อกับทีวีในห้อง พอดีไม่รู้ว่ามันมีช่องเสียบพวกนี้ให้ เราเลยไม่ได้เตรียมอะไรมาทดลองเลย เสียดายๆ เพราะดูแล้วมีช่องให้เสียบทั้งสาย USB, VGA, สายจอทั่วไป รวมไปถึงสาย S-Video อีกต่างหาก

.

 

 

 

 

 

 

.

<

My Love Jucuzzi

ออกมาที่ตรง Balcony ไฮไลท์ของห้องนี้เลยครับ อ่างจากุซซี่ นี้ก็สมราคาคุย อ่างกว้างขวางพอสมควร พอที่จะลงไปได้สองคน ส่วนแรงดันน้ำก็แรงดี ลงไปแช่แล้วสบายตัวเบาเลยทีเดียวแล้วก็ไม่ต้องกลัวโป๊เพราะว่าที่ระเบียงทาง Marrakesh เขามีม่านไฟฟ้าให้เอาไว้ปิดเวลาเราจะแช่น้ำ หรือว่าเอาไว้ปิดกันแดดก็แล้วแต่ ชิวว์มากจริงๆขอบอกว่าชิวว์ แชร์น้ำไป ปล่อยให้กระแสน้ำนวดหลังนวดคอเราไป อ่านหนังสือสักเล่มไป เปิดเพลงเบาๆชิวๆ ไป เสียดายตอนที่ลงไปแชร์ไม่ได้หยิบเบียร์มาสักกระป๋องหรือไวน์สักแก้วลงไปด้วย แล้วก็ยังเสียดายอีกรอบที่ทาง Marrakesh ไม่ได้มีโฟมบาร์ทหรือทรายขัดตัวให้ด้วยก็เลยได้แช่อย่างเดียวไม่งั้นคงจะฟินกว่านี้

.

 .

อีกมุมหนึ่งของส่วน Balcony มีเบาะชิวๆพอนั่งสองคนอ่านหนังสือ จิบกาแฟไปก็แล้วแต่

.

 

 

 

 

 

 

.

 

<

 .

วิวห้องจากระเบียงมองออกไปแอบเห็นทะเลเล็กน้อยครับ วิวส่วนใหญ่จะเป็นโซน Residences ทั้งสิ้น รวมไปถึงสระว่ายน้ำแบบยาวววววววมากกกก น่าว่ายสุดๆ แต่เขาก็ไม่อนุญาติให้แขกโรงแรมไปใช้บริการนะครับ เขาสงวนไว้สำหรับแขก Residences เท่านั้น ให้ความรู้สึกเราเป็นลูกเมียน้อยอะไรอย่างนั้นจริงๆ

.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

.

Breakfast

ส่วนนี้รูปสุดท้ายเป็นรูปอาหารเช้า หลักๆก็จะมีโซนขนมปัง โซนสลัด โซนไข่ และเป็นโซนบุฟเฟ่ที่มีแฮม เบคอน ไส้กรอก ข้าวต้ม ติ๋มซำเล็กน้อย

เสียดายที่ไม่ได้ลองอาหารเย็นของ Marrakesh พอดีต้องแบ่ง Voucher ใบนึงให้เพื่อนฉุยและครอบครัวไป เลยอดได้ลิ้มลองเลย

 .

In Conclusion

สรุปทริปนี้ไปเยือน Marrakesh ก็ต้องไปเลยว่าเป็นรีสอร์ตที่น่าไปพักในระดับนึงเลยทีเดียว มีจุดขายด้านการตกแต่ง มีอ่าง Jacuzzi ทุกห้อง มีเตียงดูดวิญญานที่ชอบมาก อาหารเช้าอยู่ในเกณฑ์ดีเลยทีเดียว มีอาหารหลายหลากให้เลือก

เพียงแต่ว่าข้อเสียที่ได้พบมาก็คือ รู้สึกว่าการบริการของที่ Marrakesh นี้ยังไม่สุด ด้วยราคาห้องระดับนี้แต่กลับไม่มีแก้วไวน์ให้ ไม่มีรองเท้าแตะ ไม่มี Rain Shower ไม่มีทรายขัดผิวหรือ Bath Foam ให้กับ Jacuzzi จริงๆพวกนี้มันเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่โรงแรมหรือรีสอร์ตอื่นในระดับใกล้เคียงกันเขามีให้ พอมาที่ Marrakesh แล้วไม่มีเหมือนกันมันก็เลยแอบรู้สึก FAIL รวมไปถึงที่จอดรถที่น้อยมากและดูแออัด ยิ่งหากมีรถบัสคันใหญ่เข้ามาอยู่ในบริเวณโรงแรมด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัดเข้าไปอีก รวมไปถึงห้องฟิตเนสที่เล็กมาก ไม่มีเครื่องอุปกรณ์อะไรให้เล่นเท่าไหร่ มันรู้สึกเหมือนกับว่ามีห้องฟิตเนสไว้เพียงเพื่อให้รู้ว่ามี ไม่ได้กะให้แขกได้มากใช้บริการเท่าไหร่

เอ่ะ ทำไมรู้สึกว่าข้อดีก็มี แต่ข้อเสียมันเยอะจังแหะ เอาเป็นว่าโดยส่วนตัวแล้ว  Marrakesh เป็นรีสอร์ตนึงที่ถ้าหากว่าไม่เคยมาเนี้ย ก็น่าจะมาลองพักผ่อนดูสักครั้ง ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นรีสอร์ตใหม่ มีสไตล์ที่แตกต่าง เพียงแต่ถ้าถามว่าเราจะกลับไปพักที่ Marrakesh อีกไหมก็ขอบอกว่าคงจะไม่ เพราะว่าด้วยราคาห้องพักระดับนี้ เรามีความรู้สึกว่าเราสามารถได้บริการและสิ่งที่ดีกว่าได้จากที่อื่น

 

 

Filed Under: Travel Tagged With: Huahin, Jacuzzi, Marrakesh, Morocco, ชิว, หัวหิน

  • « Go to Previous Page
  • Go to page 1
  • Go to page 2

Primary Sidebar

LIVE ONCE

Search

Recent Posts

  • คุ้มไหม? กับสิทธิประโยชน์บัตร American Express Platinum ปี 2018 กับค่าธรรมเนียมรายปี 35,000 บาท
  • Wat Mahathat Worawihan in 10 Photos (Ratchaburi)
  • มากิน Haidilao Steamboat สุกี้สัญชาติจีน การบริการหลุดโลก 313@Somerset
  • X2 River Kwai Kanchanaburi In The Morning Photo Gallery
  • ประเดิม 10 km แรกกับ Nike Zoom Fly เปรียบเทียบกับ Asics Nimbus 19

Copyright © 2023 · Metro Pro on Genesis Framework · WordPress · Log in