• Skip to primary navigation
  • Skip to main content
  • Skip to primary sidebar

LIVE ONCE

Only Live Once, Smart Life, Spend Wisely - dogs, travel, tech, running and freedom

  • Travel
  • LifeStyle
  • Sport
  • Book
  • Tech
You are here: Home / Archives for Tech

Tech

Apple Ecosystem กับการวางรากฐานเตรียมพร้อมลุย Mobile Payment อย่างเต็มตัว

September 17, 2013 by Chaiyasit Admin Leave a Comment

ผ่านไปแล้วกับการเปิดตัว iPhone 5s กับ iPhone 5c ที่หลายๆคนรอคอย ไม่รู้ว่าจะถูกอกถูกใจสาวกคนไหนบ้างรึเปล่า และเราคงไม่ได้พูดลึกถึงฟีเจอร์และความสามารถที่มันเพิ่มขึ้นมา เพราะคิดว่าคงมีใครหลายๆ คนเขียนถึงมากมายก่ายกองให้อ่านจนเต็มไปหมด และถ้าถามความเห็นส่วนตัว คงอยากจะพูดถึง “ความน่าตื่นเต้น” หรือ Excitement มากกว่าว่าเดี๋ยวนี้พวกงานเปิดตัวสินค้าใหม่หลายๆอย่างไม่ว่าจะเป็นของ Apple, Samsung, หรือเจ้าอื่นๆ มันไม่ค่อยน่าลุ้น น่าตื่นเต้นแล้วสักเท่าไหร่ เพราะข่าวลงข่าวลือแต่ละข่าวที่ออกมานั้น ข้อมูลบางทีมันค่อนข้างที่จะแม่นยำและ accurate มากๆ อย่างงานเปิดตัว iPhone 5c กับ 5s รอบนี้ เอ่ออคือ ข้อมูบแทบจะ 90% แม่นเป๊ะๆ จริงไหม?

 

iPhone's Touch ID / appleinsider.com
iPhone’s Touch ID / appleinsider.com

 

แต่สิ่งที่เราค่อนข้างจะสนใจมากในงานเปิดตัวรอบนี้ก็คือ “Fingerscan sensor” หรือเจ้าปุ่ม Home ของ iPhone ในรุ่นก่อนๆ นี้เองที่จะแฝงฟังชั่นและฟีเจอร์การตรวจสอบลายนิ้วมือ “Touch ID” เข้ามาด้วย

คำถามก็คงจะลอยมาว่า ทำไมล่ะ? กะอีแค่ตรวจสอบลายนิ้วมือ เพื่อแทนที่การใช้ passcode อะไรพวกนี้มันน่าสนใจตรงไหน เพราะโทรศัพท์มือถือในรุ่นๆอื่นๆของ Android ก็มีบางรุ่นที่มีฟังชั่นและฟีเจอร์นี้อยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น

motorola-ATRIX-4G
Motorola Atrix 4G / รูปจาก GSMARENA.COM

 

Fujitsu F-06E
Fujitsu F-06E / รูปจาก DOCOMO

 

หรือแม้แต่เจ้า HTC ONE MAX ที่มีข่าว (ลือ) ว่าจะมี Fingerprint scanner เช่นกัน ฉะนั้น Apple ไม่ใช่เจ้าแรกนะ ที่มีการเอา Fingerprint scanner หรือ Fingerscan sensor มารวมอยู่ใน smartphone ของตัวเอง

ใช่แล้ว Apple อาจจะไม่ใช่เจ้าแรกที่ทำ แต่ด้วยนิสัยของ Apple เขามักต้องการจะเป็นเจ้าที่ทำแล้วดีที่สุด ใช้ง่ายที่สุด และในช่วงเวลาที่เหมาะสม …. ยังไงล่ะ? คงต้องเท้าความกันเล็กน้อย Technology ที่ Apple ใช้ในตัว Fingerprint scanner หรือ Touch ID เนี้ยเป็น Technology ที่ Apple ไปซื้อมาจากบริษัท AuthenTec ด้วยสนราคาที่ $356 ล้าน USD / หรือถ้าคิดเป็นเงินไทยที่เรตปัจจุบันก็ราวๆ 11,392 ล้านบาทเอง …..  O_o

เจ้าเทคโนโลยีตัว Touch ID ที่ Apple ซื้อมานี้มันเจ๋งสักแค่ไหนนะ ทำไมต้องยอมลงทุนเป็นหมื่นล้านซื้อมา ก็อย่างที่บอกไปแหละว่า โดยนิสัยของ Apple แล้วเขาชอบที่จะทำอะไรให้ Simple เรียบง่าย และต้องใช้ง่าย และถ้าจะทำแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด และ Technology ตัวนี้มีดีกว่าเจ้าทั่วๆไปที่

– สามารถอ่านลายนิ้วมือได้ แม้จะนิ้วมือจะอยู่ในสภาพที่เปื้อนเหงื่อ มีคราบสกปรก หรือเป็นแผล เพราะ Touch ID จะอ่านค่าจากลายนิ้วมือที่อยู่ใต้ผิวหนัง มีค่าความผิดพลาดแค่ 0.1% (EER : Equal Error Rate)

– Touch ID มีระบบจดจำและเรียนรู้ ฉะนั้นทุกๆครั้งที่มีการอ่านค่าลายนิ้วมือ ข้อมูลลายนิ้วจะถูกปรับปรุงตลอด

– Touch ID ใช้ Blackfin processor ที่มีขนาดเล็ก กินไฟน้อยมาก และที่สำคัญอ่านค่าได้รวดเร็วสุดๆ

นอกจากนี้เรามาดูกันว่า “ช่วงเวลาที่เหมาะสม” หมายถึงอะไร

US mobile payment emarketer

 

นี้เป็นข้อมูลการคาดการณ์เกี่ยวกับ Mobile Payment ในอเมริกา โดย eMarketer.com และหากเราสักเกตุดีดีจะพบว่าช่วงปี 2012 / 2555 ที่ผ่านมาการเจริญเติบโตของผู้ใช้ Mobile Payment เติบโตถึง 160.7%  และมูลค่าการจ่ายเงินผ่าน Mobile Payment เติบโตกว่า 225.6% และในปี 2013 นี้ เขาประเมินว่ามูลค่าการจ่ายเงินผ่าน Mobile Payment จะทะลุ $1 Billion USD (หรือราวๆ 3หมื่นล้านบาท)

ด้วยระดับการเจริญเติบโตที่เกิน 100% ทั้งมูลค่าและจำนวนผู้ใช้ นั้นบ่งบอกถึงพฤติกรรมของผู้ใช้ Smartphone ที่เริ่มเปลี่ยนไปหันมาทำธุรกรรมต่างๆ ผ่าน Smartphone กันมากขึ้นแบบก้าวกระโดด ซึ่งหากเรามองย้อนกลับไปเมื่อปี 2012 ที่ Apple ได้เปิดตัว iPhone 5 และ “Passbook” ซึ่งก็เทียบเท่ากับกระเป๋าตังบนมือถือ ที่ใช้เก็บตั๋วเครื่องบิน คูปอง หรือบัตรผ่านและอะไรต่อมิอะไรต่างๆ

และมาปีนี้ Apple ก็เปิดตัว iPhone 5s พร้อม Touch ID (Fingerprint scanner) อีกต่างหาก ซึ่งแน่นอนถ้าถามคนทั่วๆไปว่ามีสแกนนิ้วแล้วมันดียังไง คนส่วนใหญ่ก็คงตอบว่า “ก็ดี” คงใช้รูดปรื้ดผ่านหน้าจอ Lock Screen ไม่ต้องมานั่งกดพาสเวิร์ด หรือถ้าเป็นคนใช้แบบ Advance หน่อยก็คงมองไปถึงการใช้ซื้อเพลง ซื้อ App หรือซื้อหนัง โดยไม่ต้องใส่พาสเวิร์ด Apple ID แตะปุ่ม Home ปั้ปพร้อมโหลด App ปุ๊ป ซึ่งก็จริงอย่างที่เขาคิดกันนั้นแหละ

 “Your fingerprint is the perfect password. You always have it with you. And no two are exactly alike. So it made sense to create a simple, seamless way to use it as a password”

แต่…. ถ้าลองมาคิดดูกันอีกขึ้นนึง ทำไม Apple ต้องยอมลงทุนระดับหมื่นล้านบาท เพื่อนำเทคโนโลยีตัวนี้มาใช้แทนแค่ Passcode หรือ Apple ID เองหรือ?

เราก็คิดไปคิดมาแล้วก็คิดว่า สิ่งที่ Apple กำลังทำอยู่ตอนนี้เนี้ย ไม่น่าจะใช่จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการลงทุนด้วยเม็ดเงินมหาศาลขนาดนั้น แต่สิ่งที่ Apple กำลังทำอยู่ตอนนี้เป็นแค่ขั้นเริ่มต้นของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าในปลายทาง ขั้นเริ่มต้นที่ว่านี้คือการที่ Apple กำลังพยายามให้ผู้ใช้ iPhone ทั้งหลายค่อยๆเรียนรู้เทคโนโลยีตัวนี้ โดยเริ่มจากสิ่งที่ผู้ใช้รู็จักและใช้งานคุ้นเคยอยู่แล้ว ซึ่งก็คือ

– การนำมาใช้แทนหรือควบคู่ในการเปิดล็อค iPhone กับ Passcode จากเดิมที่ต้องกดแต่รหัสตัวเลขอย่างเดียว

– การนำมาใช้แทนหรือควบคู่ในการซื้อ App ผ่าน App Store กับ Apple ID จากเดิมที่ต้องคอยจดจำและพิมพ์รหัสทุกครั้งในการซื้อ

มันคือการปลูกฝังความเชื่อใจในเทคโนโลยี ในนวัตกรรม ว่า Touch ID นั้นใช้งานได้จริง ง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่ยุ่งยาก และ bottom line สุดท้ายคือ “ความปลอดภัย”

ทีนี้เรามาลองมอง Apple ในภาพใหญ่กันบ้างว่า เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี หากว่าผู้ใช้ iOS ต่างคุ้นเคยกับการใช้งาน Touch ID กันหมดแล้วนั้นหมายถึงอะไร

1) Apple มี iTunes Store มี App Store (Ecosystem ที่เป็นของตนเอง)

2) Apple มี Contents ต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพลง หนัง Applicationsต่างๆ

3) Apple มี Devices ที่เป็นของตนเองและเป็นที่นิยมมีผู้ใช้งานทั่วโลกอย่าง iPhone, iPad, iPod, etc

4) Apple มีระบบกึ่ง Currency อยู่แล้วกับ iTunes Credits / iTunes Gift Card

5) Apple เชื่อมต่อ Ecosystem ของตนเองกับธนาคาร บัตรเครดิตหลักทั่วโลก (Mastercard, Visa, etc)

หากมองกันง่ายๆ ใน Ecosystem ของ Apple จะมีผู้เล่นต่างๆ ดังนี้

ผู้ขาย (Merchant) = Apple

สินค้า (Products&Services) = Music, Movie, Application, etc

ผู้ซื้อ (Buyer) = iOS users

ตลาด (Market) = iTunes Store, App Store (Apple Ecosystem)

สกุลเงิน#1 ที่ใช้ในการซื้อสินค้า (Currency) = iTunes Credit via iTunes Gift Card

สกุลเงิน#2 ที่ใช้ในการซื้อสินค้า (Currency) = Users’ credit cards via Bank

ตอนนี้ใน Apple Ecosystem อาจจะใช่ที่ผู้ขาย (Merchant) นั้นมีแค่ Apple เท่านั้น แต่หากเราดูว่าจำนวนยอดขาย iPhone ตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี 2007 ตราบจนปัจจุบันนี้ ขายไปแล้วทั้งสิ้น 387ล้านเครื่อง

ด้วยตัวเลขจำนวนผู้ใช้ขนาดนี้ หมายถึงมูลค่าตลาดและกำลังซื้อมหาศาล ฉะนั้น Apple ไม่น่าจะมีปัญหาในการหา Partners เจ้าอื่นๆ มาเข้าร่วม มาเป็นผู้ขาย มาเป็น Merchant ใน Ecosystem ของตนเองเลย

Apple’s fiscal year ends in September. This means that Q1 includes the holiday season, which accounts for jumps in the data.

Fiscal Year Q1 Q2 Q3 Q4 Total sold
2007 270,000[1] 1,119,000[2] 1,389,000
2008 2,315,000[3] 1,703,000[4] 717,000[5] 6,890,000[6] 11,625,000
2009 4,363,000[7] 3,793,000[8] 5,208,000[9] 7,367,000[10] 20,731,000
2010 8,737,000[11] 8,752,000[12] 8,400,000[13] 14,100,000[14] 39,989,000
2011 16,235,000[15] 18,647,000[16] 20,338,000[17] 17,073,000[18] 72,293,000
2012 37,044,000[19] 35,064,000[20] 26,028,000[21] 26,910,000[22] 125,046,000
2013 47,789,000[23] 37,343,000[24] 31,241,000 [25] 116,373,000
Fiscal Year Q1 Q2 Q3 Q4 387,446,000

ตารางข้อมูลจาก commins.wikimedia.org

ฉะนั้นหากเรามองว่าในอนาคตหากผู้ขายเนี้ยไม่ได้มีแค่ Apple ล่ะ แต่มี Partners เจ้าอื่นๆ เข้ามาด้วยเช่น Starbucks

– อยากกิน Starbucks จัง เปิด iTunes Store ใน iPhone

– กดเข้าหน้า Partners แทนที่จะเป็น Music, Movie

– เลือก Starbucks พร้อมเลือก  Caramel Macchiato สักแก้ว

– กดสั่งซื้อ โดยการ verify payment ผ่าน Touch ID

– Starbucks Voucher/Coupon สำหรับรับ Caramel Macchiato ก็ส่งดึ๋งงเข้ามาใน Passbook App

– เที่ยงปุ๊ปเดินลงไป Starbucks พร้อม โชว์ Voucher/Coupon ผ่าน Passbook พร้อมแตะ NFC และ Touch ID เพื่อ Redeem

– Caramel Macchiato อุ่นๆ อร่อย

และนี้น่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไม iPhone ยังไม่มี NFC สักที นั้นเป็นเพราะ Apple มองว่ายังไม่ถึงเวลาที่พร้อมจะใช้ และถ้าหากว่า Apple มีจุดหมายที่จะลุยตลาด Mobile Payment จริงๆแล้ว เรามองว่า NFC จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ Apple จะนำมาใช้กับ iPhone

http://www.analog.com/en/content/authentic_fingerprint_matching_with_blackfin/fca.html << ข้อมูล AuthenTech Fingerprint Sensor

http://www.emarketer.com/Article/US-Mobile-Payments-Top-1-Billion-2013/1010035 << ข้อมูล Mobile Payment ของ emarketer.com

Filed Under: Tech Tagged With: apple, authentec, blackfin, ecosystem, mobile payment, touch ID

1 สัปดาห์กับ Blackberry 10 & My first impression

February 16, 2013 by Chaiyasit Admin Leave a Comment

ในที่สุดก็เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 30 มกราคม และได้เริ่มวางขายไปแล้วในบางประเทศ สำหรับ Blackberry รุ่นใหม่ ที่มีชื่อรุ่นว่า Blackberry Z10 ที่มาพร้อมระบบใหม่ล่าสุดอย่าง Blackberry 10

ส่วนตัวก็เคยเป็นสาวก Blackberry มาก่อนและชื่นชอบในความสะดวกสะบายในการใช้งานอีเมล์รวมทั้งชอบการใช้งานคีบอร์ดแบบที่จับต้องได้ (QWERTY Physical Keyboard) จึงค่อนข้างตื่นเต้นกับการเปิดตัวสักทีของ Blackberry 10 พอสมควร และที่สำคัญระบบปฏิบัติการ Blackberry 10 OS นี้มันคือการวางเดิมพันสุดท้ายของ RIM ที่ตอนนี้ก็เปลี่ยนชื่อมาเป็น Blackberry ไปแล้ว ในการจะหาที่ยืนในตลาดที่ Samsung และ Apple เป็นเจ้าตลาดอยู่ด้วย Android และ iPhone (iOS)

หลังจากนั้นก็เลยติดตามข่าวของ Blackberry 10 มาจนพบว่ามีคนเอา ROM ของ Blackberry 10 OS ตัวเต็มๆ ที่ใช้กับ Blackberry Z10 ในงานเปิดตัว มาปล่อยให้โหลด และแน่นอนไม่มีรอช้า ต้องรีบไปจิ๊กเครื่อง Blackberry Dev Alpha B ของบริษัทมา และจัดการลง ROM เรียบร้อยโรงเรียน JC ^o^

Blackberry Alpha B
Updating Blackberry 10 Rom

.

.

.

.

.

.

.

.

.

การอัพรอมของ Blackberry 10 รุ่นใหม่นี้ก็ไม่ได้ยากอะไรเท่าไหร่ เสียบสาย USB ต่อเข้าคอมแล้วก็รันไฟล์ Autoload ก็เรียบร้อยแล้ว และใช้เวลาในการอัพไม่นาน

.

Blackberry 10 Boot Screen
Welcome to Blackberry!

.

.

.

.

.

.

.

.

.

และเซอร์ไพร์แรกเมื่ออัพรอมเสร็จก็คือ เฮ้ยย Blackberry 10 นั้นรองรับภาษาไทย !  “ยินดีต้อนรับสู่ Blackberry”  และที่สำคัญมันไม่ใช่ซับนรกอย่างที่เราเห็นเราเจอะกันในแผ่นหนังเถื่อน

.

Blackberry ID
Gesture Tutorials

.

.

.

.

.

.

.

.

.

ถัดมา Blackberry 10 ก็จะถามถึง Blackberry ID ของเราถ้ามีก็ใส่ไปครับ ไม่งั้นก็สมัครใหม่ก็ได้ นอกจากนั้นก็จะเป็นการตั้งค่าเครื่องเบื้องต้นต่างๆ เช่น Wifi เอยอะไรเอย เราก็แบบนะอะไรกันเยอะแยะ อยากจะลองใช้แล้ว จนสุดท้ายก็ตั้งค่าไปเรื่อยๆ จนมาถึงหน้า Gesture ที่จำเป็น (Essential Gesture Tutorials) ซึ่งก็จะสอนการใช้งานเบื้องต้นของระบบ Blackberry 10 ซึ่งหากเราสังเกตุให้ดีจะพบว่าเจ้าเครื่อง Blackberry 10 เนี้ย มันไม่มี มันไร้ปุ่ม! ฉะนั้นเลยต้องสอนวิธีใช้กันหน่อย

 

Blackberry 10 UI & Basic Gesture Controls

หลังจากที่ได้ลองเล่นเจ้า Blackberry 10 มาได้สักสัปดาห์นึง ก็ต้องบอกว่าชอบมาก มันคือสิ่งใหม่ใหม่ทุกอย่าง ฉีกความเป็น Blackberry รุ่นเก่าดั้งเดิมทิ้งทั้งสิ้น จะบอกว่ามันถูกสร้างใหม่จากเริ่มต้นเลยทีเดียว ก็จะขอสรุปคร่าวๆ ว่ามีส่วนที่ชอบและไม่ชอบอย่างไรบ้าง

เริ่มต้นด้วยส่วนที่ชอบละกัน

UI

การใช้งาน UI แบบไร้ปุ่มคือใช้ Gesture Controls นั้นก็ต้องบอกว่าลื่นไหล ใช้งานทั่วไปได้รวดเร็ว เรียนรู้ไม่ยากและค่อนข้างสนุกในการใช้ ให้ความรู้สึกเหมือนไปถอดร่าง Nokia N9 (MeeGo) มายังไงอย่างงั้น ชอบความรู้สึกเวลา Swipe ขึ้นลงและปัดไปม่ะนั้นแหละ

Thai Supported

อย่างที่บอกว่า ค่อนข้างประหลาดใจพอสมควรที่พบว่า Blackberry 10 รองรับภาษาไทยได้อย่างสมบูรณ์และสมบูรณ์จริงจัง ทั้งการแสดงผลเมนูในภาษาไทย การแสดงผลบน Web Browser และที่สำคัญ Thai Keyboard ที่ติดมากับ Blackberry 10 พร้อมฟังชั่น Auto Correction ที่ฉลาด เรื่องนี้ถ้าให้คะแนนเต็ม 10 ผมให้ 100 เลยดีกว่า โดยเฉพาะยิ่งอย่าเอาไปเทียบกับ Windows Phone 8 เชียวนะ ขอแซะหน่อย

BBM

ลืมกันไปหรือยังกับ Blackberry Messaging ซึ่ง BBM ตัวใหม่ที่มาพร้อมกับ Blackberry 10 นี้เจ๋งมาก ชอบมาก และทีเด็ดมาก มันอาจจะไม่ได้มาพร้อม Stickers หลายหลากมากมายเหมือน Line หรือจะ Cross-platform ตัวแรกๆ อย่าง Whatsapp แต่ BBM นี้มาพร้อมฟังชั่นและฟีเจอร์เด็ดๆ เช่น

BBM Voice (คือการโทรคุยผ่าน BBM ได้เลย)

BBM Video (คือ Video Call แบบเห็นหน้ากัน เหมือน Facetime / Skype)

และทีเด็ดเลยก็คือ BBM Screen Share คือการที่เราสามารถแชร์หน้าจอของเราให้เพื่อนดูได้ ในขณะที่เรากำลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อนอยู่

ลองเล่นมาทั้ง 3 ตัว พบว่าประสิทธิภาพ เมื่อใช้งานกับ Dtac 3G ก็ถือว่าไม่ขี้เหร่เลยทีเดียว

BBM VIDEO
BBM Screen Share

.

.

.

 

 

ส่วนข้อด้อย

Apps

ด้วยการที่ Blackberry 10 ยังเป็น OS ใหม่ ฉะนั้นเริ่มต้นอาจจะมี App ไม่มาก โดยเฉพาะ Line, Whatsapp หรือ MOLOME ที่เราคนไทยชื่นชอบ 😛

แต่การที่เริ่มต้น Blackberry 10 ก็มาพร้อมกับ Twitter, Facebook, Foursquare, Linkedln ซึ่งจะเป็น basic social networking app ที่หลายๆคนพึงจะมีก็พอถูไถใช้ได้สำหรับสาวก Blackberry รวมไปถึงที่ Blackberry 10 ได้รับการตอบรับค่อนข้างดี จึงมีแนวโน้มที่ดีว่า App ต่างๆจะไหลมาเทมาในระยะเวลาอันใกล้

ส่วน Android App ที่สามารถนำมาใช้งานบน Blackberry 10 ได้นั้นก็ถือว่าเป็นอีกตัวเลือกนึง ซึ่งพอใช้งานได้ แต่ไม่ได้ใช้งานได้ดีเต็ม 100% นะครับ

 

FINALLY

ผมมองว่าจุดที่แตกต่างที่สุดระหว่าง Blackberry 10 / Android / iPhone ก็คือ เรื่อง Communication หรือสิ่งที่ Blackberry เรียกตัวเองว่า Blackberry Hub ซึ่งมันคือ Concept การรวม Communication channels ที่ใ้ช้ในชีวิตประจำวัน มารวมอยู่ในจุดเดียวเช่น Email, SMS, Facebook, Twitter, Calls, Voice Mails, etc.

ส่วนอนาคตของ Blackberry 10 จะเป็นเช่นไร มันก็คงอยู่ที่ Blackberry เองว่าจะขาย Product ของตัวเองยังไง จะหาจุดขายจุดที่จะหยิบยกขึ้นมาชู ด้วยที่ตัวเองก็มีดีพอสมควร ซึ่งความเห็นส่วนตัวผมให้ Blackberry 10 มีภาษีดีกว่า Windows Phone 8 อยู่หลายช่วงตัวนะครับ

Filed Under: Tech Tagged With: Blackberry 10, Blackberry Z10

Nexxone Capri 2 : iPad2 case

May 28, 2012 by Chaiyasit Admin 1 Comment

–

หลังจากได้ New iPad สีดำมาอย่างไม่คาดฝัน ( ต้องขอบพระคุณคุณพี่ @chaiyosart ที่ซื้อกลับมาเป็นของฝากให้จากประเทศสหรัฐอเมริกา ) และด้วยเหตุที่ได้เครื่องมาก่อนเครื่องศูนย์จะเข้า ทำให้ตอนนั้นค่อนข้างยากลำบากในการหาเคส New iPad ดีดีสักอันมาใช้งาน เดินเข้าไป iStudio สาขานู้นๆนี่ๆ ก็เจอแต่เคสที่ดีไซน์มาสำหรับ iPad2 ส่วนที่มาบุญครองมีขายก็เป็นเคสของจีนที่เราก็ไม่ได้อยากได้แบบนั้นมาใช้ เพราะยังไม่ถูกใจแล้วไม่อยากจะเปลี่ยนเคสบ่อยๆ ( แอบเบื่อเลือกนั้นเอง )

และอยู่มาวันหนึ่งเราก็ได้เสียง DM สวรรค์จากคุณพี่นู๋ดี @9LivesNoodee ว่า “เนี้ยพี่มีเคสพรีวิวเหลือ สนใจไหม” ถ้าสนใจก็บอกพี่เขาได้เลย…

แหนะ อ้อยมาจ่ออยู่ปากช้างแล้วจะเหลือหรอ?

งั๊บบบบบ!!!

–

NeXXone Capri2

–

เคส iPad2 ของ Nexxone Capri2 ก็หลุดลอดมาอยู่ในกำมือของเราอย่างเนียนๆ และแว๊บแรกเห็นเราก็แอบชอบความดุดัน เรียบร้อย ดูมีสไตล์อย่างเรียบง่าย และเหมาะสำหรับการเดินพกถือไปพรีเซ้นงานหน้าชั้นหรือในที่ประชุม ให้อารมณ์ดูดีมีการศึกษาทำนองนั้น

นี้เรามาซูมดูใกล้ๆหน่อยดีกว่าว่าวัสดุนี้มันใช่หนังอย่างที่ว่าหรือเปล่า ( พูดจริงๆ ดูไม่เป็น ) และจะได้แอบโชว์ยี่ห้อด้วย เนียนไหม?

–

Nexxone Capri2 : ZOOM

–

บางคนอาจจะงงๆ ว่าเอ่ะ ไหนว่าได้ New iPad มา แล้วทำไมถึงเอาเคสของ iPad2 มาใช้ ก่อนอื่นก็ต้องบอกก่อนว่า New iPad เนี้ยจะมีความหนามากกว่า iPad2 อยู่ราวๆ 0.6 มิลลิเมตร และตอนแรกก็แอบคิดเหมือนกันว่ามันจะใส่ได้จริงๆหรอ แต่ก็เห็นอย่างภาพนะว่าใส่ได้ อาจจะออกแนวบังคับขืนใจนิดหน่อยในช่วงแรกในการยัดเข้าไป แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเหนือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่ ใส่ไปสักพักมันก็ไม่ฝืดล่ะ เอ่ะ o_O ….

เปลี่ยนเรื่องมาดูมุมด้านหลังของเคสดีกว่า ว่าหล่อเข้ม สาวมั่นแค่ไหน

–

Nexxone Capri2 : Rear View

–

หลังจากดูมุมด้านหลังของเคสแล้ว เราคงสังเกตุเห็นว่า แม้เคสมันจะไม่ได้ครอบคลุมทุกส่วนของตัว iPad แต่มุมสำคัญๆ ทุกมุมนั้นมีส่วนขอบของเคสนั้นป้องกันอยู่ 4 มุมหลัก และ 2 มุมบนและล่าง ส่วนด้านซ้ายและขวาก็มีขอบขึ้นมา ฉะนั้นจึงมั่นใจได้ว่า ถ้าหากเราเผลอทำตกไม่ว่าจะท่าตีลังกา หรือตีโค้งยังไง iPad เราก็จะปลอดภัยจากรอยบุบและรอยถลอกได้ค่อนข้างแน่นอน ( ใช้มายังไม่บุบไม่ถลอกเลย )

คราวนี้มาดูมุมบนและมุมล่าง ดูความสะดวกในการใช้งานช่องต่างๆ ของ iPad กัน

–

Nexxone Capri2 : Top View

–

มุมด้านบนจะเห็นว่าตัว Nexxone Capri2 ถูกดีไซน์ให้สามารถใช้งานจาก (ซ้าย) ช่องเสียบหูฟัง มาที่ (ขวา) ปุ่มเปิดปิด On/Off รวมไปถึง ปุ่ม Volume และ ที่เลื่อนเอนกประสงค์ Toggle Mute / Vibrate ได้สะดวกสบายมาก รวมไปถึงช่องของกล้องถ่ายรูปก็สามารถใช้งานได้ทันทีไม่จำเป็นตัวขยับตัวเคสขึ้นหรือลงเหมือนกับเคสของ Moshi Concerti

ที่นี้มาดูมุมด้านล่างของเคสกันบ้าง

–

Nexxone Capri2 : Bottom View

–

ส่วนด้านมุมล่างสุดของเคส ชัดเจนมากสำหรับตรงกลางช่องสำหรับต่อสายชาร์ตหรือสาย Sync แล้วด้านมุม (ซ้าย) สำหรับรูลำโพง  … โอ้ย ชอบแหะ

หลังจากดูครบหมดแล้วคราวนี้มาดูเวลาใช้งานกันบ้าง

–

Nexxone Capri2 : Open Case

–

การเปิดเคสก็เปิดเหมือนเปิดหนังสือนะ เปิดจากขวาไปซ้ายโดยใช้นิ้วดันตัวล็อค มันเล็กน้อยในการเปิด และความรู้สึกในการเปิดปิดเคส Nexxone Capri2 นั้นก็ต้องบอกเลยว่า รู้สึกแข็งแรงทนทานและราบรื่นมากและที่สำคัญตัวแม่เหล็กที่เอาไว้เปิดปิดหน้าจออัตโนมัติ Smart Cover ก็สามารถใช้งานกับตัว New iPad ได้นะครับสำหรับเคสนี้ ส่วนวัสดุด้านในก็จะเป็นเหมือนขนนุ่มๆๆ สักอย่าง ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าคืออะไร แต่มันก็สามารถป้องกันรอยขีดข่วนให้กับ iPad ของเราได้ดีเลยล่ะ

หากสังเหตุกันให้ดี เราจะเห็นว่าตัวล็อค iPad ของ Nexxone Capri2 นี้จะมีด้วยกัน 6 จุด บนขวา กลางบน และบนซ้าย และด้านล่างก็เป็นเช่นเดียวกัน ซึ่ง 6 จุดนี้ก็เป็นตัวขอบเอาไว้ป้องกันมุมต่างๆของ iPad ด้วย ซึ่งสำหรับ New iPad นั้นเราไม่สามารถล็อคเครื่องกับจุดบนซ้ายและล่างซ้ายได้…. เพราะว่าตัวเครื่องมันหนากว่า iPad2 นั้นเอง! …..

ซึ่งตรงนี้ผมได้ลองเอา iPad2 ของคุณแฟนมาทดลองใส่เคส Nexxone Capri2 ตัวนี้ดูก็ปรากฏว่าสามารถใส่เครื่องได้ครบทั้ง 6 ตัวล็อค โดยใช้นิ้วดันตัว iPad เข้ากับมุมบนซ้ายและล่างซ้ายลงไปได้ เข้าล็อคพอดี ในขณะนี้ New iPad ยัดไม่ลงนะครับ….

อาจจะฟังดูแย่… แต่หารู้ไม่ว่าเวลาใช้งานจริงแล้ว ผมกลับแฮปปี้ที่จะไม่จำเป็นต้องล็อค iPad ของเราไว้กับตัวล็อคครบทุกตัวนะ ด้วยเหตุผลอันใดไว้จะอธิบายต่อถึงการใช้นะ

การใช้งาน Nexxone Capri2 นี้เราสามารถปรับมุมมองได้ถึง 4 ระดับตามนี้

–

Nexxone Capri2 : 4 Angles Stand

 –

ซึ่งส่วนใหญ่จากการใช้งานในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ผมชอบใช้แบบที่ 3 มากที่สุดเลยไม่ว่าจะนอนบนเตียงเล่น นั่งที่โต๊ะทำงาน หรือที่โต๊ะกินข้าว …. และสังเกตุไหมว่าเวลาเราจะตั้งเจ้า iPad ของเราโดยใช้เคส Nexxone Capri2 เนี้ย เราต้องปลดล็อคตัวล็อคด้านบนซ้ายและด้านล่างซ้ายออก เพื่อจะนำขอบตรงนั้นของ iPad มาตั้งนั้นเอง ซึ่งมันเป็น 2 จุดที่ New iPad ไม่สามารถยัดลงไปได้…. ทำให้เวลาใช้งานจริงๆเนี้ยมันช่างสะดวกสบายมากเลย เพราะตอนที่ผมลองเอา iPad2 มาใช้นั้นค่อนข้างหงุดหงิดเล็กน้อยที่ทุกครั้งที่ผมจะตั้ง iPad เนี้ยผมต้องมานั่งแกะมุม 2 มุมนี้ออกซึ่งมันต้องใช้แรงพอสมควร….

และสุดท้ายนี้ขอฝากไว้นิดว่านอกจากการตั้ง iPad 4 มุมแล้วเนี้ย เจ้าเคส Nexxone Capri2 ยังมีอีก 1 ไม้ตายที่ผมก็ชอบใช้งานเช่นกัน คือการวางแนบกับโต๊ะโดยทำมุมเล็กน้อย เพื่อเหมาะกับการพิมพ์ Virtual Keyboard บน iPad นั้นเอง

–

Nexxone Capri2 : Typing Angle

 –

สรุปว่า

เคส Nexxone Capri2 เนี้ยแม้ว่ามันจะถูกดีไซน์ออกมาให้ใช้งานได้กับ iPad2 ผมกลับไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไหร่นะกับการใช้งานกับ iPad2 ด้วยเหตุที่ว่าผมใช้งานการตั้ง iPad เป็นแบบแนวนอนมากกว่าแนวตั้ง แล้วจะต้องเสียเวลามานั่งแกะมุมตัวล็อคออก ซึ่งมันต้องใช้แรงพอสมควรแบบเบาๆ ในขณะที่หาก เคส Nexxone Capri2 ตัวนี้นำมาใช้งานกับ New iPad จะไม่พบปัญหาตรงนี้เลย และแม้ว่าจะใช้ตัวล็อคแค่ 4 จุดจากทั้งหมด 6 จุด มันก็พอเพียงแล้วที่จะไม่ทำให้ New iPad ผมหลุดหรือหล่นออกจากเคส อาจจะเป็นเพราะที่ว่าใส่เข้าไปแล้วมันจะฟิตกว่าทั่วไปเพราะว่า New iPad มันหนากว่า iPad2 หนิ….

ผมขอฟันธงด้วยประสบการณ์การใช้งานของผมว่า 

==Nexxone Capri 2 ; iPad2 case which suits more on New iPad==

Filed Under: Tech Tagged With: ipad2, Nexxone Capri2

Apple To Rule The World ก้าวสำคัญของ Apple ที่จะครองโลกด้วย iBooks 2

January 24, 2012 by Chaiyasit Admin Leave a Comment

.

.

เนื่องจากเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2012 ที่ Apple ได้กระโดดเข้ามาร่วมวงในตลาด e-textbooks (ตำราเรียน) โดยจับมือกับ 3 ค่ายหนังสือเรียนยักษ์ใหญ่จาก

1) Pearson PLC
2) McGlaw-Hill Cos Inc
3) Houghton Mifflin Harcourt

ซึ่งแค่ 3 สำนักพิมพ์นี้ก็ยึดตลาด Textbooks ในอเมริกาไปกว่า 90% แล้ว!!!

และการเข้าแจมตลาด e-book นี้ Apple มี Strategy โดยเน้นไปที่ textbooks เราจะเรียกว่า e-textbooks นะครับเพราะว่ารูปแบบการลุยตลาดจะเป็นอยู่บน  iPad นั้นเอง โดย Apple จะสร้าง Platform ขึ้นมารองรับโดยผ่าน iBooks 2 App ที่สามารถดาวโหลดได้ฟรีผ่าน Apple Store

การใช้งาน iBooks 2 นี้ก็ใช้ง่ายมาก เพียงกดเข้า App แล้วเลือกซื้อหนังสือหลังจากกดซื้อแล้ว เจ้าหนังสือนี้ก็จะถูกส่งผ่านแบบ OTA (Over the air) เข้ามาที่ iPad ของเราและพร้อมใช้งานได้โดยทันที

เบื้องต้นตลาด e-textbooks นี้นักวิเคราะห์ทั้งหลายประเมินว่ามีมูลค่าตลาดทั้งสิ้นอยู่ที่ 8,000 ล้านเหรียญ (USD) หรือราวๆ 24,000 ล้านบาทเท่านั้นเอง

แล้วจากข่าวนี้อะไรละที่ทำให้ผมคิดหรือตื่นตระหนกไปเองว่า Apple กำลังเดินก้าวต่อไปที่สำคัญในการจะครองโลกอย่างแยบยล…

.

ปัจจุบันตอนนี้ iPhone ก็คือ Smartphone เครื่องๆหนึ่งที่คนซื้อเพราะว่ามันใช้งานง่าย, มันมี Design, มันเป็น Lifestyle, มันเป็นสิ่งประจำวัน รวมไปถึงคนซื้อเพราะชอบและหลงในศาสดา Steve Jobs และมนต์ขลังของ Apple แต่…. คนไม่ได้ซื้อเพราะว่ามันเป็นสิ่งจำเป็น

ตรงนี้และจุดนี้ทำให้ Steve Jobs เมื่อปีก่อนมองเห็นว่า ทำไมเราไม่ทำให้ iPad มันเป็นสิ่งที่จำเป็นเสียล่ะ แล้วอะไรล่ะที่จะเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับคนทั่วไป ควรจะเริ่มต้นจากจุดไหนดี….

และจากบทสัมพาษท์ของ Philip Schiller (Senior Vice President ของ Apple) เขามองว่า

.

“ปัจจุบันระบบการศึกษาอยู่ในยุคมืด และหนังสือและตำราเรียนมันทั้งใหญ่และหนักและเป็นอุปสรรคหนึ่งในการเรียนรู้”

.

และแน่นอนว่าการศึกษาเป็นสิ่งจำเป็น ตรงนี้มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ล้ำลึกมาก เป็นกลยุทธ์ที่บุกตลาดรากหญ้าแบบจริงจัง และเมื่อมองจากจำนวนนักเรียนในระบบของอเมริกาที่มีอยู่ถึง 55.5 ล้านคน จาก 130,00 โรงเรียน แน่นอนว่าจำนวน iPad ที่เป็นฐานตลาดอยู่นั้นมีเพียง 2.7% เท่านั้นเองและยังเป็นตลาด Blue Ocean ที่ยังไม่มีคู่แข่งมากนัก จึงเป็นโอกาสที่ Apple จะได้บุกเพื่อไปยึดหัวหาดและครอบครองตลาดได้โดยไม่ยากเย็น

.

.

ตรงนี้หลายคนอาจจะค้านว่า Amazon Kindle ไงที่เป็นเจ้าตลาด Ebooks อยู่ในปัจจุบัน ไม่ผิดครับเพียงแต่ว่ามันคือ Ebooks ที่ไม่ใช่ E-textbooks… ด้วย Limitations ที่ Amazon มีนั้นคือ Limitations เกี่ยวกับ Responsiveness และ Interaction ของ Kindle Device ที่เหมาะสมเพียงแค่ใช้ในการอ่าน Content ต่างๆ ที่ไม่หวือหวา เช่น นวลนิยาย นิตยสาร หนังสือพิมพ์ และอื่น ขณะที่ iPad ของ Apple นั้นสามารถที่จะแสดงผล Voice, Video, Graphical Contents, Effects, อะไรต่างๆ ที่ทำให้เนื้อหาการเรียนรู้น่าสนใจ และที่แน่นอนความเร็วในการ Responsive รวมไปถึงความสามารถด้าน Touchscreen ที่ไม่เป็นรองใครก็เป็นอีก Advantage Edges ที่ Amazon Kindle สู้ไม่ได้

ซึ่งการบุกตลาดการศึกษาและหวังที่จะให้ iPad เป็นส่วนหนึ่งของระบบการศึกษานั้น หากว่า Apple สามารถทำได้ขึ้นมานั้น ผมล่ะไม่กล้าคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น จากอุปกรณ์ Gadget ที่เป็นสิ่งไม่จำเป็น ก็จะกลายเป็นสิ่งจำเป็นโดยทันที และฐานผู้ใช้ที่ Apple จะได้มาจากจุดนี้ก็จะเป็นเยาวชนของชาติ นักเรียน นักศึกษา จำนวน App และจำนวน Textbook รวมไปถึง Contents อะไรต่างๆนาๆ ก็จะยิ่งทวีคูณขึ้นไปสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบ Ecosystem ของ iOS ในการสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับ Apple

และแน่นอนระบบการศึกษาของอเมริกานั้นเป็นแม่แบบ ให้ระบบการศึกษาในหลายๆประเทศทั่วโลก หากว่า iPad สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบการศึกษาในอเมริกาได้แล้ว ประเทศต่างๆก็ย่อมที่จะก็อปปี้และ Develop ระบบนั้นมาใช้งานในประเทศของตนเอง จากตลาดภายในประเทศก็จะกระจายสู่ตลาดโลกในทันใด

…

ที่นี้ผมจะพูดถึงความเป็นไปได้เช่น Opportunities และ Limitations เกี่ยวกับเรื่องนี้

…

Opportunities

…

ประเด็นแรก เขาประเมินว่าปัจจุบันนี้มี iPad ที่ถูกนำมาใช้ในการศึกษาอยู่ราวๆ 1.5 ล้านเครื่อง และมี App ที่เกี่ยวกับการศึกษาอยู่ใน Apple Store ราวๆ  20,000 apps และขอเน้นว่าตัวเลขเหล่านี้เกิดขึ้นโดย Demand และ Users Driven ที่ Apple ไม่ได้ลงทุนทางด้านนี้สักแดงเดียว Apple ไม่ได้จ้างบริษัทไหนให้พัฒนา Educational Apps ออกมาสู่ตลาด และ Apple ไม่ได้ทำการตลาด Marketing ด้านนี้ด้วยซ้ำ

คำถามก็คือ ถ้าเกิดว่า Apple ตัดสินใจลุยตลาดด้าน Education Industry บุกโรงเรียน High Schools ต่างๆ อย่างเต็ม 100% ตลาดมูลค่า 8,000 ล้านเหรียญจะตอบรับเช่นไร ?

.

ประเด็นที่สอง ราคาหนังสือ Textbook โดยเฉลี่ยในระดับ High School หรือ K-12 ของอเมริกาอยู่ที่ราวๆ $75 ต่อเล่มและมีระยะเวลาใช้งานต่อเล่มอยู่ที่ราวๆ 5  ปี ขณะที่หากเทียบกับราคาหนังสือต่อเล่มบน iBooks 2 นี้จะตกอยู่ที่ราคาต่อเล่มไม่เกิน $15 และอย่าลืมว่า App นึงสามารถแชร์ผ่านเครื่องได้ 5 Devices  ฉะนั้นพี่ๆน้องๆ ก็สามารถใช้ร่วมกันได้

(ประเด็นนี้ยังไม่ได้ลองนะครับ ว่า Apple มีล็อคตรงนี้ไว้หรือเปล่าใน iBooks 2)

ราคาที่ $75 เทียบกับ $15 ต่อเล่ม และนักเรียนต่างๆ ไม่จำเป็นต้องแบกหนังสือเล่มหนาๆ หนักๆ เดินไปมาตามห้องเรียนต่างๆ ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจสำหรับนักเรียนมากๆ ทั้งในด้านการประหยัดค่าใช้จ่ายและความสะดวกสบายในการเดินทาง

คำถามก็คือ $15 นี้มันคุ้มไหม นักเรียนนักศึกษาพร้อมที่จะจ่ายเงินจำนวนนี้ไหม

…..

ประเด็นที่สาม จะเกี่ยวกับ Contents ว่าจะครอบคลุมตำราเรียนได้ขนาดไหน อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ข้างบนว่า Apple ได้จับมือเป็น Partner กับ 3 สำนักพิมพ์ใหญ่ของอเมริกาที่ครองตลาดตำราเรียนอยู่ถึง 90% และสำนักพิมพ์ต่างๆเหล่านี้กำลังจะปล่อย E-textbooks เวอชั่นของวิชาต่างๆเช่น Algebra, ฟิสิกส์, เคมี, Geometry, Biology และอื่นๆ รวมไปถึง DK Publishing ที่ล่าสุดก็กำลังจะปล่อยหนังสือต่างๆ สำหรับเด็กเล็ก เช่น My First ABC, Mammals, และเล่มอื่นๆอีก

.

.

หาก Apple สามารถที่จะสร้างดีลที่ Win-Win ให้กับ Partnership เหล่านี้ได้ ซึ่งก็มีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นนั้นเพราะว่าจากข่าวที่ได้ติดตามอยู่นั้น Apple จะขอแชร์ส่วนแบ่งจากการขายหนังสืออยู่ที่ 30% อีก 70% ที่เหลือ ไม่แน่ใจว่าจะเข้ากระเป๋าสำนักพิมพ์เหล่านี้เต็มๆหรือไม่ แต่ก็ถือว่าเป็นสัดส่วนที่น่าจะทำให้สำนักพิมพ์เหล่านี้พอใจ

….

Limitations

….

แน่นอนเมื่อมันมีโอกาส มีความเป็นไปได้ ก็ต้องมีอุปสรรคบ้างเป็นธรรมดา

ประเด็นแรก คือ ราคาของ iPad ที่ปัจจุบันราคาต่ำสุดอยู่ที่ $499  หรือราวๆ 15,000บาท ซึ่งเป็นราคาที่ไม่ใช่ทุกคนสามารถหาซื้อได้ และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของอเมริกาในปัจจุบันที่ย่ำแย่ซึ่งมีผลกระทบต่องบประมาณของรัฐบาลและเงินในกระเป๋าของประชาชน

ประเด็นสอง ละ ความพร้อมของระบบการศึกษาในอเมริกา ว่ามีความพร้อมเพียงพอต่อการใช้เทคโนโลนีต่างๆเข้ามาในการเรียนการสอนหรือเปล่า รวมไปถึงบุคคลากรด้วยเช่นกัน

ประเด็นที่สาม ก็คือ ความจุของ iPad นั้นเพียงพอต่อ e-textbooks หรือไม่ เพราะโดยเฉลี่ยแล้วขนาดไฟล์ของหนังสือ e-textbooks หนึ่งเล่มนั้นอยู่ที่ 1 GB ฉะนั้นหากรุ่นต่ำสุดของ iPad ก็คือ 16GB ก็สามารถจุหนังสือได้ราวๆเพียง 13-14 เล่มเท่านั้นเอง

.

Interesting Update

หลังจากการเปิดตัว iBooks 2 แค่ 3 วัน ยอดดาวโหลด e-textbooks นั้นอยู่ที่ 350,000 ครั้ง รวมไปถึงยอดการดาวโหลดโปรแกรมสร้าง iBooks Author อยู่ที่ 95,000 ครั้ง

.

References

http://www.reuters.com/article/2012/01/19/us-apple-education-idUSTRE80I1EX20120119 : Apple jumps into digital textbooks fray

http://www.reuters.com/article/2012/01/19/idUS316729706320120119 : Apple to invade schools, Takes Aim At Textbook Market

http://gizmodo.com/5877512/apples-ibook-2-textbooks-arrive-today-for-15 : Apple’s iBooks 2 Textbooks Arrive Today for $15

http://www.ibtimes.com/articles/284898/20120120/apple-s-ibook-2-why-american-education.htm : Why the American Education System Isn’t Ready for the e-Textbooks Strategy

http://www.ibtimes.com/articles/286274/20120123/apple-ibooks-2-users-downloaded-350k-ipad.htm : Apple iBooks 2, Why Users Downloaded 350K in 3 Days

Filed Under: Tech Tagged With: amazon kindle, apple, dark ages, e-book, e-textbook, education, houghton, ibooks author, ibooks2, ipad, ipad2, mcglaw-hill, pearson

เลือกซื้อ iPhone 4S ซื้อของค่ายไหนคุ้มที่สุด (AIS, DTAC or TRUEMOVE H)

January 22, 2012 by Chaiyasit Admin Leave a Comment

.

ก่อนอื่นก็ขอสวัสดีปีใหม่ 2012 ปีมังกรหรือปีแห่งความสนุก (2555) ปีนี้น่าจะเป็นปีที่เราคนไทยเล่นสงกรานต์กันสนุกเลยทีเดียว ส่วนใครที่ปีนี้เป็นปีชง หลักๆก็คือคนที่เกิดปีมะโรง ปีจอ ปีฉลู ปีมะแม ปีเถาะ ถ้าปีที่ชงแบบเต็มๆที่สุดก็น่าจะเป็นปีจอนะครับ เพื่อความสบายอกสบายใจก็อยากจะขอแนะนำให้ไปไหว้พระทำบุญอะไรกันให้เรียบร้อย ไม่ต้องวิตกกังวลกันครับ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของความเชื่อ ขอแค่เราทำดีเป็นคนดี ท้ายสุดเราก็จะได้อะไรดีดีกลับคืนมา ไม่ช้าก็เร็วครับ

สืบเนื่องด้วยที่ว่ามีเพื่อนผมหลายคนมาก ขอเน้นว่าหลายคน ชอบมาถามผมเหลือเกินว่าจะซื้อ iPhone 4S ว่าแต่ซื้อของค่ายไหนดี? และตรุษจีนปีเวลาดีนี้หลายๆคนก็คงได้อั่งเปาซองแดงมีตังเป็นกอบเป็นกำแล้วกำลังจะมีแผนไปสอย iPhone 4S แล้วก็มาดูกันดีกว่าว่าคำตอบของผมที่ให้เพื่อนคืออะไร

– ซื้อ iPhone 4s ของค่ายไหนคุ้มที่สุด

– โปรโมชั่นของค่ายไหนดีที่สุด

เริ่มต้นก็มาดูราคาเครื่องเปล่าและราคาเครื่องพร้อมโปรของแต่ละค่ายเลยดีกว่าเริ่มต้นกันด้วย

.

AIS

.

.

DTAC

.

ราคาเครื่อง Dtac

.

truemove H

.

ราคาเครื่อง truemove H

.

เริ่มต้นหากสังเกตุเห็นราคาเครื่องเปล่า iphone 4s ของทุกค่ายราคาเท่ากันหมดที่ 22,450- 26,350- และ 30,250- ตามลำดับ

ส่วนราคาเครื่องที่ขายพร้อมแพ็กเกจหรือโปรโมชั่นนั้นแต่ละค่ายก็มีราคาที่แตกต่างกันไปนะ ส่วนของใครถูกที่สุดมาดูกัน

16GB : ทุกค่ายราคาเท่ากันที่ 21,700-
32GB: AIS และ True H ขายเท่ากันที่ 25,400- ด้าน Dtac 25,500-
64GB: True H ถูกสุดที่ 29,100- AIS ที่ 29,200- และแพงสุด Dtac 29,500-

หากเทียบกันแล้ว ถ้าจะซื้อเครื่องเปล่า ซื้อที่ truemove H น่าจะคุ้มที่สุด (หรือเปล่า?)

“เครื่องเปล่าแบบไม่ติดโปรโมชั่นเรายังสามารถซื้อผ่านทาง Apple Store ได้เช่นกันครับราคาตามนี้เลย”

.

ราคาบน Apple Store

.

เห็นราคาแล้วตกใจเลยครับ สรุปแล้วไม่ต้องเทียบให้เสียเวลา หากว่าเราจะซื้อ iPhone 4S แบบเครื่องเปล่า

ซื้อผ่าน  Apple Store ได้เลยครับ 😀

ราคานี้เป็นราคาที่ net แล้ว แถมไม่ต้องเสียภาษีด้วยครับฉะนั้นไม่ต้องกังวล

หากว่าเครื่องที่ซื้อผ่าน Apple Store แล้วมีปัญหาต้องการเปลี่ยนหรือส่งซ่อม ทาง Apple มีศูนย์บริการ ประจำประเทศไทยอยู่ที่

.

Thailand Apple South Asia (Thailand) Limited
25th Floor, Suite B2, Siam Tower,989 Rama 1 Road, Pataumwan, Bangkok, 10330

.

ส่วนข้อมูลเพิ่มเติมด้าน Warranty ก็เช็คได้ตามลิ้งนี้ครับ

http://images.apple.com/legal/warranty/docs/iPhone_4_warranty.pdf

.

ส่วนคนที่สนใจเครื่องที่มาพร้อมแพ็กเกจหรือโปรโมชั่นก็มาดูกันต่อครับว่า AIS, Dtac  และ truemove H มีโปรโมชั่นอะไรที่น่าสนใจบ้าง

.

AIS

.

Package AIS

.

DTAC

.

Package DTAC

.

truemove H

.

.

ด้วยที่ว่าการเลือกโปรโมชั่นหรือแพ็กเกจเนี้ย มันไม่สามารถที่จะฟันธงได้ว่า โปรโมชั่นหรือแพ็กเกจไหนเหมาะกับทุกคนมากที่สุด เพราะรายละเอียดค่าโทร ค่าSMS ค่าMMS ค่า3G ไม่เท่ากันและเราแต่ละคนก็มีนิสัยการใช้ที่แตกต่างกัน

เราเลยมาใช้การคำนวนแทนว่าแต่ละโปรโมชั่นของแต่ละค่ายเนี้ย โปรไหนให้ส่วนลดเทียบออกมาเฉลี่ยเป็นรายเดือนมากที่สุด

MAD = (Monthly Average Discount) = ส่วนลดค่าเฉลี่ยแบบรายเดือน

.

AIS

เอไอเอส – เจ้าแรกมีโปรโมชั่นอยู่  5 แบบด้วยกันและเป็นแบบ 24 รอบบิลฉะนั้นหลังจากคำนวนส่วนลดแล้วเราจะนำส่วนลดนั้นมาหารด้วย 24 เพื่อจะได้ส่วนลดเฉลี่ยรายเดือนหรือ MAD (Monthly Average Discount)

1) โปร 299บ. (ฟรีรอบเดือน 19-24 คิดเป็น 1794 บาท ) MAD อยู่ที่ 74.75 บาท
2) โปร 399บ. (ฟรีรอบเดือน 21-24 คิดเป็น 1596 บาท ) MAD อยู่ที่ 66.5 บาท
3) โปร 549บ. (ฟรีรอบเดือน 21-24 คิดเป็น 2196 บาท ) MAD อยู่ที่ 91.5 บาท
4) โปร 839บ. (ฟรีรอบเดือน 21-24 คิดเป็น 3356 บาท ) MAD อยู่ที่ 139.8 บาท
5) โปร 899บ. (ฟรีรอบเดือน 21-24 คิดเป็น 3596 บาท ) MAD อยู่ที่ 149.8 บาท

.

Dtac

ดีแทค – มีโปรโมชั่น 2 แบบและเป็น 18 รอบบิลเท่านั้นซึ่งถือว่าสั้นที่สุดครับ

1) Superdeal L 899   (ส่วนลดเดือน 1-6 เหลือ 499 บาท และเดือน 7-18 เหลือ 649 บาท ) MAD อยู่ที่ 166.6 บาท
2) Superdeal M 580 (ส่วนลดเดือน 1-6 เหลือ 280 บาท และเดือน 7-18 เหลือ 380บาท ) MAD อยู่ที่ 100 บาท

.

truemove H

ทรูมูฟ เอช – มีโปรโมชั่นอยู่ 3  แบบที่ 24 รอบบิลเช่นเดียวกับ AIS

1) Package S 399    ( ฟรีรอบเดือนที่ 19-24 คิดเป็น 2394 บาท ) MAD อยู่ที่ 99.75 บาท
2) Package M 579  ( ฟรีรอบเดือนที่ 19-24 คิดเป็น 3474 บาท ) MAD อยู่ที่ 144.75 บาท
3) Package L 799    ( ฟรีรอบเดือนที่ 19-24 คิดเป็น 4794 บาท ) MAD อยู่ที่ 199.75 บาท ***

หากตัดสินกันตาม ส่วนลดเฉลี่ยรายเดือนหรือ MAD  (Monthly Average Discount) โปรโมชั่นหรือแพ็กเกจของ truemove H ก็น่าจะที่จะคุ้มที่สุดนะครับที่เฉลี่ยเดือนๆนึง ประหยัดไป 199.75 บาท (มั้ง)

Filed Under: Tech Tagged With: ais, DTAC, iPhone 4s, TRUEMOVE

  • Go to page 1
  • Go to page 2
  • Go to page 3
  • Go to Next Page »

Primary Sidebar

LIVE ONCE

Search

Recent Posts

  • คุ้มไหม? กับสิทธิประโยชน์บัตร American Express Platinum ปี 2018 กับค่าธรรมเนียมรายปี 35,000 บาท
  • Wat Mahathat Worawihan in 10 Photos (Ratchaburi)
  • มากิน Haidilao Steamboat สุกี้สัญชาติจีน การบริการหลุดโลก 313@Somerset
  • X2 River Kwai Kanchanaburi In The Morning Photo Gallery
  • ประเดิม 10 km แรกกับ Nike Zoom Fly เปรียบเทียบกับ Asics Nimbus 19

Copyright © 2023 · Metro Pro on Genesis Framework · WordPress · Log in