• Skip to primary navigation
  • Skip to main content
  • Skip to primary sidebar

LIVE ONCE

Only Live Once, Smart Life, Spend Wisely - dogs, travel, tech, running and freedom

  • Travel
  • LifeStyle
  • Sport
  • Book
  • Tech
You are here: Home / Archives for Chaiyasit Admin

Chaiyasit Admin

บินเฟิร์สคลาสการบินไทยโคตรหรูไปญี่ปุ่นด้วย LifeMiles จ่ายเพียง 2x,xxx บาท

November 24, 2017 by Chaiyasit Admin Leave a Comment

ใครที่เป็นนักสะสมไมล์สายการบินจะรู้กันดีว่าวิธีสะสมไมล์ให้ได้เยอะๆ ในการแลกตั๋วเครื่องบิน มีอยู่ไม่มาก

  1. เลือกใช้บัตรเครดิตเน้นปั้มไมล์ให้เหมาะสม
  2. รอจังหวะโปรโมชั่นขายไมล์ของโปรแกรมสะสมไมล์ต่างๆ

“LifeMiles” โปรแกรมสะสมไมล์ของสายการบิน Avianca (ของโคลัมเบีย) เป็นอีกหนึ่งโปรแกรมที่มักจะมีโปรโมชั่นขายไมล์ในเรทที่ดีๆ อยู่เรื่อยๆ และที่สำคัญ Avianca เป็นหนึ่งในสมาชิกพันธมิตร Star Aliance ที่คุ้นชื่อคุ้นหูคนไทยเป็นอย่างดีเพราะสมาชิกใน Star Aliance นี้มีทั้ง การบินไทย, ANA, Singapore Airlines, EVA เป็นต้น

ตอนนี้ LifeMiles กำลังมีโปรโมชั่นขายไมล์ที่โหดที่สุดในรอบปี “cyber week” ซึ่งเราจะได้รับโบนัสไมล์สูงถึง 145%

ในทุกๆ 1,000 ไมล์ที่เราซื้อจะได้โบนัสเพิ่ม 145%  วิธีคำนวนคร่าวๆว่าเราจะได้กี่ไมล์ก็มีสูตรตามนี้

จำนวนไมล์ที่ได้ = (จำนวนไมล์ที่ซื้อ x 1.45 ) + จำนวนไมล์ที่ซื้อ

ตัวอย่างดูได้จากตารางเลย

โดยปกติ LifeMiles จะขายไมล์อยู่ที่ประมาณ 3.3 cents (USD) ต่อ 1 ไมล์ ถ้าเราได้ 145% โบนัสจากโปรโมชั่นนี้ สุดท้ายเราจะใช้เงินเพียง 1.35 cents (USD) ต่อ 1 ไมล์ หรือประมาณถ้าคำนวนเป็นเงินไทยก็จะตกราวๆ 45 สตางค์ต่อ 1 ไมล์ และอย่างที่ได้บอกไว้ว่า Avianca เป็นหนึ่งในสายการบินพันธมิตรของ Star Alliance เวลาจะเอา LifeMiles มาใช้เราก็ต้องดู ตารางแลกไมล์ของ Star Alliance

เส้นทางการบินในการแลกไมล์ที่น่าสนใจของ LifeMiles สำหรับคนไทยก็น่าจะเป็นโซน North Asia (ญี่ปุ่น เกาหลี จีน), และโซน Other (ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์) โดยประเทศไทยอยู่ในโซน South Asia แลกไปโซน North Asia (ญี่ปุ่น เกาหลี จีน) จะได้จำนวนไมล์ที่ต้องใช้ (ต่อขา) เรียงลงมา Eco, Bus, และ First ตามตารางข้างล่าง

จะสังเกตเห็นว่า จุดหวานหมู ในการแลกจะอยู่ที่บรรทัดที่ 3 ซึ่งจะหมายถึง เฟิร์สคลาส! โดยใช้ไมล์แลกเพียง 50,000 ไมล์ ก็คิดเป็นเงินเพียง 50,000 x 0.45 = 22,500 บาท ในการแลกตั๋ว เฟิร์สคลาส! การบินไทยไปญี่ปุ่นหรือเกาหลี

22,500 บาท กับการได้นั่งเฟิร์สคลาส Royal First Class สายการบินไทย หรืออาจจะเป็นสายการบินอื่นอย่าง ANA นี่ยิ่งกว่าคุ้มโคตรคุ้ม ยิ่งถ้าดูจากไฟท์ TG 676 ในตารางด้านบน และเช็คเครื่องบินประจำ TG 676 ดีๆ จะรู้ว่ามันคือ A380  เห็นแบบนี้แล้วคันไม้คันมือ อยากจะซื้อไมล์เพิ่มและกดจองจริงๆ เสียดายต้นปีหน้าแม้ว่าผมจะต้องมีไปวิ่งที่ Kyoto Marathon แต่ผมดันไปจอง JAL เรียบร้อยแล้ว ไม่งั้นนะ ฮึ!

สุดท้ายสำหรับเพื่อนๆที่เป็นสมาชิกของโปรแกรมสะสมไมล์ LifeMiles อยู่แล้วขออย่าให้พลาดโอกาสทองนี้นะครับ และรายละเอียดเพิ่มเติมและข้อจำกัดต่างๆ ของโปรโมชั่นนี้สามารถเข้าไปอ่านได้ที่เวปไซต์ของ LifeMiles ได้โดยตรง!

และโปรโมชั่น cyber week ของ LifeMiles นี้มีถึงแค่ 27 พฤศจิกายนนี้เท่านั้น!

Filed Under: Travel Tagged With: A380, Avianca, First Class, LifeMiles, Star Alliance, Thai Airways

หนังสือ Work Smart rather than Hard Work (The 80/20 Manager) ของ Richard Koch

August 16, 2014 by Chaiyasit Admin Leave a Comment

วันนึง ณ PS.Cafe’ (Palais Renaissance) พี่ชัช @chutchapol แนะนำหนังสือเล่มนึงให้อ่าน หลังจากที่คุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องชีวิต ธุรกิจ ต่างๆ นานา และด้วยที่เห็นว่าพี่ชัชเป็นคนนึงที่อ่านหนังสือเยอะมากรวม เราก็ลองของยิงคำถามใส่พี่เขาไปว่า “พี่ครับ ผมอยากหาหนังสืออ่านสักเล่มนึง พี่ชัชว่าผมเหมาะกับหนังสือเล่มไหนดี” พี่ชัชเขาก็ตอบกลับมาว่า “อย่างเรานะหรอ อืม…” (นึ่งไปสัก 5 วินาที) แล้วก็ตอบว่า “พี่ว่าเล่มนี้น่าจะเหมาะกับเรานะ”

The 80/20 Manager / 10 ways to become a great leader by Richard Koch

นี่แหละคือจุดเริ่มต้น และความคิดแว่บแรกเลยที่ผุดขึ้นมาในหัว หลังจากได้ยืมหนังสือเล่มนี้มาจากพี่ชัชก็คือว่า “เฮ้ย! ไอ้ 80/20 นี้มันคุ้นๆ เหมือนที่เราเคยเรียนสมัยตอนอยู่มหาวิทยาลัยเลย”

[Read more…] about หนังสือ Work Smart rather than Hard Work (The 80/20 Manager) ของ Richard Koch

Filed Under: Book Tagged With: 80/20, Book, Richard Koch, Time, Work Smart

Apple Ecosystem กับการวางรากฐานเตรียมพร้อมลุย Mobile Payment อย่างเต็มตัว

September 17, 2013 by Chaiyasit Admin Leave a Comment

ผ่านไปแล้วกับการเปิดตัว iPhone 5s กับ iPhone 5c ที่หลายๆคนรอคอย ไม่รู้ว่าจะถูกอกถูกใจสาวกคนไหนบ้างรึเปล่า และเราคงไม่ได้พูดลึกถึงฟีเจอร์และความสามารถที่มันเพิ่มขึ้นมา เพราะคิดว่าคงมีใครหลายๆ คนเขียนถึงมากมายก่ายกองให้อ่านจนเต็มไปหมด และถ้าถามความเห็นส่วนตัว คงอยากจะพูดถึง “ความน่าตื่นเต้น” หรือ Excitement มากกว่าว่าเดี๋ยวนี้พวกงานเปิดตัวสินค้าใหม่หลายๆอย่างไม่ว่าจะเป็นของ Apple, Samsung, หรือเจ้าอื่นๆ มันไม่ค่อยน่าลุ้น น่าตื่นเต้นแล้วสักเท่าไหร่ เพราะข่าวลงข่าวลือแต่ละข่าวที่ออกมานั้น ข้อมูลบางทีมันค่อนข้างที่จะแม่นยำและ accurate มากๆ อย่างงานเปิดตัว iPhone 5c กับ 5s รอบนี้ เอ่ออคือ ข้อมูบแทบจะ 90% แม่นเป๊ะๆ จริงไหม?

 

iPhone's Touch ID / appleinsider.com
iPhone’s Touch ID / appleinsider.com

 

แต่สิ่งที่เราค่อนข้างจะสนใจมากในงานเปิดตัวรอบนี้ก็คือ “Fingerscan sensor” หรือเจ้าปุ่ม Home ของ iPhone ในรุ่นก่อนๆ นี้เองที่จะแฝงฟังชั่นและฟีเจอร์การตรวจสอบลายนิ้วมือ “Touch ID” เข้ามาด้วย

คำถามก็คงจะลอยมาว่า ทำไมล่ะ? กะอีแค่ตรวจสอบลายนิ้วมือ เพื่อแทนที่การใช้ passcode อะไรพวกนี้มันน่าสนใจตรงไหน เพราะโทรศัพท์มือถือในรุ่นๆอื่นๆของ Android ก็มีบางรุ่นที่มีฟังชั่นและฟีเจอร์นี้อยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น

motorola-ATRIX-4G
Motorola Atrix 4G / รูปจาก GSMARENA.COM

 

Fujitsu F-06E
Fujitsu F-06E / รูปจาก DOCOMO

 

หรือแม้แต่เจ้า HTC ONE MAX ที่มีข่าว (ลือ) ว่าจะมี Fingerprint scanner เช่นกัน ฉะนั้น Apple ไม่ใช่เจ้าแรกนะ ที่มีการเอา Fingerprint scanner หรือ Fingerscan sensor มารวมอยู่ใน smartphone ของตัวเอง

ใช่แล้ว Apple อาจจะไม่ใช่เจ้าแรกที่ทำ แต่ด้วยนิสัยของ Apple เขามักต้องการจะเป็นเจ้าที่ทำแล้วดีที่สุด ใช้ง่ายที่สุด และในช่วงเวลาที่เหมาะสม …. ยังไงล่ะ? คงต้องเท้าความกันเล็กน้อย Technology ที่ Apple ใช้ในตัว Fingerprint scanner หรือ Touch ID เนี้ยเป็น Technology ที่ Apple ไปซื้อมาจากบริษัท AuthenTec ด้วยสนราคาที่ $356 ล้าน USD / หรือถ้าคิดเป็นเงินไทยที่เรตปัจจุบันก็ราวๆ 11,392 ล้านบาทเอง …..  O_o

เจ้าเทคโนโลยีตัว Touch ID ที่ Apple ซื้อมานี้มันเจ๋งสักแค่ไหนนะ ทำไมต้องยอมลงทุนเป็นหมื่นล้านซื้อมา ก็อย่างที่บอกไปแหละว่า โดยนิสัยของ Apple แล้วเขาชอบที่จะทำอะไรให้ Simple เรียบง่าย และต้องใช้ง่าย และถ้าจะทำแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด และ Technology ตัวนี้มีดีกว่าเจ้าทั่วๆไปที่

– สามารถอ่านลายนิ้วมือได้ แม้จะนิ้วมือจะอยู่ในสภาพที่เปื้อนเหงื่อ มีคราบสกปรก หรือเป็นแผล เพราะ Touch ID จะอ่านค่าจากลายนิ้วมือที่อยู่ใต้ผิวหนัง มีค่าความผิดพลาดแค่ 0.1% (EER : Equal Error Rate)

– Touch ID มีระบบจดจำและเรียนรู้ ฉะนั้นทุกๆครั้งที่มีการอ่านค่าลายนิ้วมือ ข้อมูลลายนิ้วจะถูกปรับปรุงตลอด

– Touch ID ใช้ Blackfin processor ที่มีขนาดเล็ก กินไฟน้อยมาก และที่สำคัญอ่านค่าได้รวดเร็วสุดๆ

นอกจากนี้เรามาดูกันว่า “ช่วงเวลาที่เหมาะสม” หมายถึงอะไร

US mobile payment emarketer

 

นี้เป็นข้อมูลการคาดการณ์เกี่ยวกับ Mobile Payment ในอเมริกา โดย eMarketer.com และหากเราสักเกตุดีดีจะพบว่าช่วงปี 2012 / 2555 ที่ผ่านมาการเจริญเติบโตของผู้ใช้ Mobile Payment เติบโตถึง 160.7%  และมูลค่าการจ่ายเงินผ่าน Mobile Payment เติบโตกว่า 225.6% และในปี 2013 นี้ เขาประเมินว่ามูลค่าการจ่ายเงินผ่าน Mobile Payment จะทะลุ $1 Billion USD (หรือราวๆ 3หมื่นล้านบาท)

ด้วยระดับการเจริญเติบโตที่เกิน 100% ทั้งมูลค่าและจำนวนผู้ใช้ นั้นบ่งบอกถึงพฤติกรรมของผู้ใช้ Smartphone ที่เริ่มเปลี่ยนไปหันมาทำธุรกรรมต่างๆ ผ่าน Smartphone กันมากขึ้นแบบก้าวกระโดด ซึ่งหากเรามองย้อนกลับไปเมื่อปี 2012 ที่ Apple ได้เปิดตัว iPhone 5 และ “Passbook” ซึ่งก็เทียบเท่ากับกระเป๋าตังบนมือถือ ที่ใช้เก็บตั๋วเครื่องบิน คูปอง หรือบัตรผ่านและอะไรต่อมิอะไรต่างๆ

และมาปีนี้ Apple ก็เปิดตัว iPhone 5s พร้อม Touch ID (Fingerprint scanner) อีกต่างหาก ซึ่งแน่นอนถ้าถามคนทั่วๆไปว่ามีสแกนนิ้วแล้วมันดียังไง คนส่วนใหญ่ก็คงตอบว่า “ก็ดี” คงใช้รูดปรื้ดผ่านหน้าจอ Lock Screen ไม่ต้องมานั่งกดพาสเวิร์ด หรือถ้าเป็นคนใช้แบบ Advance หน่อยก็คงมองไปถึงการใช้ซื้อเพลง ซื้อ App หรือซื้อหนัง โดยไม่ต้องใส่พาสเวิร์ด Apple ID แตะปุ่ม Home ปั้ปพร้อมโหลด App ปุ๊ป ซึ่งก็จริงอย่างที่เขาคิดกันนั้นแหละ

 “Your fingerprint is the perfect password. You always have it with you. And no two are exactly alike. So it made sense to create a simple, seamless way to use it as a password”

แต่…. ถ้าลองมาคิดดูกันอีกขึ้นนึง ทำไม Apple ต้องยอมลงทุนระดับหมื่นล้านบาท เพื่อนำเทคโนโลยีตัวนี้มาใช้แทนแค่ Passcode หรือ Apple ID เองหรือ?

เราก็คิดไปคิดมาแล้วก็คิดว่า สิ่งที่ Apple กำลังทำอยู่ตอนนี้เนี้ย ไม่น่าจะใช่จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการลงทุนด้วยเม็ดเงินมหาศาลขนาดนั้น แต่สิ่งที่ Apple กำลังทำอยู่ตอนนี้เป็นแค่ขั้นเริ่มต้นของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าในปลายทาง ขั้นเริ่มต้นที่ว่านี้คือการที่ Apple กำลังพยายามให้ผู้ใช้ iPhone ทั้งหลายค่อยๆเรียนรู้เทคโนโลยีตัวนี้ โดยเริ่มจากสิ่งที่ผู้ใช้รู็จักและใช้งานคุ้นเคยอยู่แล้ว ซึ่งก็คือ

– การนำมาใช้แทนหรือควบคู่ในการเปิดล็อค iPhone กับ Passcode จากเดิมที่ต้องกดแต่รหัสตัวเลขอย่างเดียว

– การนำมาใช้แทนหรือควบคู่ในการซื้อ App ผ่าน App Store กับ Apple ID จากเดิมที่ต้องคอยจดจำและพิมพ์รหัสทุกครั้งในการซื้อ

มันคือการปลูกฝังความเชื่อใจในเทคโนโลยี ในนวัตกรรม ว่า Touch ID นั้นใช้งานได้จริง ง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่ยุ่งยาก และ bottom line สุดท้ายคือ “ความปลอดภัย”

ทีนี้เรามาลองมอง Apple ในภาพใหญ่กันบ้างว่า เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี หากว่าผู้ใช้ iOS ต่างคุ้นเคยกับการใช้งาน Touch ID กันหมดแล้วนั้นหมายถึงอะไร

1) Apple มี iTunes Store มี App Store (Ecosystem ที่เป็นของตนเอง)

2) Apple มี Contents ต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพลง หนัง Applicationsต่างๆ

3) Apple มี Devices ที่เป็นของตนเองและเป็นที่นิยมมีผู้ใช้งานทั่วโลกอย่าง iPhone, iPad, iPod, etc

4) Apple มีระบบกึ่ง Currency อยู่แล้วกับ iTunes Credits / iTunes Gift Card

5) Apple เชื่อมต่อ Ecosystem ของตนเองกับธนาคาร บัตรเครดิตหลักทั่วโลก (Mastercard, Visa, etc)

หากมองกันง่ายๆ ใน Ecosystem ของ Apple จะมีผู้เล่นต่างๆ ดังนี้

ผู้ขาย (Merchant) = Apple

สินค้า (Products&Services) = Music, Movie, Application, etc

ผู้ซื้อ (Buyer) = iOS users

ตลาด (Market) = iTunes Store, App Store (Apple Ecosystem)

สกุลเงิน#1 ที่ใช้ในการซื้อสินค้า (Currency) = iTunes Credit via iTunes Gift Card

สกุลเงิน#2 ที่ใช้ในการซื้อสินค้า (Currency) = Users’ credit cards via Bank

ตอนนี้ใน Apple Ecosystem อาจจะใช่ที่ผู้ขาย (Merchant) นั้นมีแค่ Apple เท่านั้น แต่หากเราดูว่าจำนวนยอดขาย iPhone ตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี 2007 ตราบจนปัจจุบันนี้ ขายไปแล้วทั้งสิ้น 387ล้านเครื่อง

ด้วยตัวเลขจำนวนผู้ใช้ขนาดนี้ หมายถึงมูลค่าตลาดและกำลังซื้อมหาศาล ฉะนั้น Apple ไม่น่าจะมีปัญหาในการหา Partners เจ้าอื่นๆ มาเข้าร่วม มาเป็นผู้ขาย มาเป็น Merchant ใน Ecosystem ของตนเองเลย

Apple’s fiscal year ends in September. This means that Q1 includes the holiday season, which accounts for jumps in the data.

Fiscal Year Q1 Q2 Q3 Q4 Total sold
2007 270,000[1] 1,119,000[2] 1,389,000
2008 2,315,000[3] 1,703,000[4] 717,000[5] 6,890,000[6] 11,625,000
2009 4,363,000[7] 3,793,000[8] 5,208,000[9] 7,367,000[10] 20,731,000
2010 8,737,000[11] 8,752,000[12] 8,400,000[13] 14,100,000[14] 39,989,000
2011 16,235,000[15] 18,647,000[16] 20,338,000[17] 17,073,000[18] 72,293,000
2012 37,044,000[19] 35,064,000[20] 26,028,000[21] 26,910,000[22] 125,046,000
2013 47,789,000[23] 37,343,000[24] 31,241,000 [25] 116,373,000
Fiscal Year Q1 Q2 Q3 Q4 387,446,000

ตารางข้อมูลจาก commins.wikimedia.org

ฉะนั้นหากเรามองว่าในอนาคตหากผู้ขายเนี้ยไม่ได้มีแค่ Apple ล่ะ แต่มี Partners เจ้าอื่นๆ เข้ามาด้วยเช่น Starbucks

– อยากกิน Starbucks จัง เปิด iTunes Store ใน iPhone

– กดเข้าหน้า Partners แทนที่จะเป็น Music, Movie

– เลือก Starbucks พร้อมเลือก  Caramel Macchiato สักแก้ว

– กดสั่งซื้อ โดยการ verify payment ผ่าน Touch ID

– Starbucks Voucher/Coupon สำหรับรับ Caramel Macchiato ก็ส่งดึ๋งงเข้ามาใน Passbook App

– เที่ยงปุ๊ปเดินลงไป Starbucks พร้อม โชว์ Voucher/Coupon ผ่าน Passbook พร้อมแตะ NFC และ Touch ID เพื่อ Redeem

– Caramel Macchiato อุ่นๆ อร่อย

และนี้น่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไม iPhone ยังไม่มี NFC สักที นั้นเป็นเพราะ Apple มองว่ายังไม่ถึงเวลาที่พร้อมจะใช้ และถ้าหากว่า Apple มีจุดหมายที่จะลุยตลาด Mobile Payment จริงๆแล้ว เรามองว่า NFC จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ Apple จะนำมาใช้กับ iPhone

http://www.analog.com/en/content/authentic_fingerprint_matching_with_blackfin/fca.html << ข้อมูล AuthenTech Fingerprint Sensor

http://www.emarketer.com/Article/US-Mobile-Payments-Top-1-Billion-2013/1010035 << ข้อมูล Mobile Payment ของ emarketer.com

Filed Under: Tech Tagged With: apple, authentec, blackfin, ecosystem, mobile payment, touch ID

เที่ยวฮอกไกโด ตอนที่3 (เทคนิคการใช้งาน GPS NAVI ที่ญี่ปุ่น)

September 8, 2013 by Chaiyasit Admin 9 Comments

ก่อนการเดินทาง เชื่อว่าหลายๆคนก็คงเตรียมข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวที่จะไป รวมไปถึงตำแหน่งร้านอาหาร ที่พัก โรงแรม ตำแหน่ง Lat Long รวมไปถึงชื่อภาษาญี่ปุ่น และบางคนรวมไปถึงเราด้วย ก็จดชื่อภาษาอังกฤษของสถานที่นั้นๆ หวังที่จะมาใช้งานตามสไตล์ GPS แบบไทยๆ ที่เราพบเห็นกันใน Garmin หรือ GPS ยี่ห้ออื่นๆ  …..

อย่างที่เกริ่นไว้ในตอนที่ 1 และตอนที่ 2 ว่ารถที่เราจะใช้เป็นพาหนะคู่ใจทริปญี่ปุ่น ท่องเที่ยวตะลุยฮอกไกโด รอบนี้คือ Nissan Cube ฉะนั้นเราก็จะพูดถึง English Speaking GPS ของ Nissan มากกว่านะ แต่ก็จะมีหน้า GPS NAVI ของรถ TOYOTA มาเปรียบเทียบให้ดูด้วย

 

NISSAN GPS
NISSAN GPS
TOYOTA GPS
TOYOTA GPS

 

จะสังเกตุเห็นว่าแม้หน้าตา Interface จะต่างกันไปบ้าง แต่หลักการใช้งานจริงๆ แล้วนั้นจะไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่…

ส่วนเราก็มาดูหน้าตาเมนูหลักของ NISSAN GPS กันดีกว่า เพราะเป็นรถที่เราใช้เที่ยวมานั้นเอง

 

Nissan Main
รูป GPS ต่อจากนี้เอามาจาก http://www.nissan.co.jp และมาใส่ภาษาไทยเพิ่มเติมเพราะรูปที่มีอยู่ไม่ค่อยเวิร์คเลย

ในหน้า Main Interface หากสังเกตุจะมี Keywords ที่น่าสนใจอยู่เช่น

1) 现在的 (เก็นไซชิ) หรือถ้าเป็นภาษาจีนจะอ่านว่า เสี่ยนจ้าย… … หมายถึง ตำแหน่งปัจจุบัน

2) メニュー หมายถึง เมนู

เมื่อเรากดปุ่ม 1) 现在的 นอกจากจะเป็นปุ่มที่ใช้บอกตำแหน่งปัจจุบันของเราแล้ว ยังเป็นปุ่มที่เวลาเราหลงๆ มึนๆ อยู่ใน GPS แล้วอยากจะกลับมาเริ่มใหม่ที่หน้าหลัก

ส่วนปุ่มที่ใช้งานบ่อยที่สุดจะเป็นปุ่ม 2) メニュー (MENU) นะเพราะว่ามันจะ นำพาเราไปสู่หน้าเมนูหลักนั้นเอง

Nissan_MENU

มันจะเป็นหน้าเมนูฟีเจอร์และฟีชั่นต่างๆ รวมไปถึง NAVIGATION ด้วยนั้นเอง ซึ่งจะมีเมนูในการค้นทางสถานที่โดย

– ที่อยู่

– จิ้มเลือกตำแหน่งบนแผนที่

– ตามสถานที่สนใจ (POIs)

– ตาม MAP CODE

– ตามโทรศัพท์

– และอื่นๆ

และก็อย่างที่ได้เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องว่า ก่อนเดินทางที่เราอุตส่าห์ค้นคว้าค้นหาและจดข้อมูลสถานที่ต่างๆไว้มากมาย…. แต่สุดท้าย เวลามาขับรถเที่ยวที่ญี่ปุ่น จริงๆแล้ว  สิ่งที่เราใช้โดยมาก ก็จะเป็นวิธีการค้นหาสถานที่โดยใช้  “เบอร์โทรศัพท์”

และอยากจะแนะนำว่านอกจากเบอร์โทรศัพท์แล้ว เจ้าตัว MAP CODE ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ง่ายต่อการใช้นำทางมากมายเช่นกัน

1) 電話番号 –  ค้นหาโดยเบอร์โทรศัพท์

2) マップコード – ค้นหาโดย MAPCODE

แต่ในที่นี้จะเน้นไปการใช้เบอร์โทรศัพท์ เพราะว่าในทุกๆเวปไซต์ของสถานที่ที่เราจะไป เราก็ต้องค้นคว้าบน Google ก่อน ซึ่งยังไงเขาก็มีเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ติดต่ออยู่แล้ว ส่วน MAPCODE นั้นจะมีแค่เฉพาะบางที่เท่านั้นเองที่จะมีให้ และถ้านับจากทริปที่เราเดินทางมาจะใช้ตัวเบอร์โทรศัพท์มากกว่านั้นเอง

เมื่อเรากดปุ่ม 1) 電話番号 มันจะพาเรามายังหน้านี้

Nissan_Phone

หน้า Interface ในเมนู 1) 電話番号 ก็จะเป็นอะไรที่ง่ายๆ มีหมายเลข 0-9 และปุ่มขวาล่าง 検索 ที่หมายถึง ค้นหา (Search) นั้นเอง ส่วนปุ่มบนขวา 打正 นี้หมายถึงยกเลิกเบอร์ที่พิมพ์ไป (พิมพ์ใหม่)

แต่การใส่หมายเลขโทรศัพท์นั้นจะมีทริคเล็กน้อยนะ เพราะว่าเบอร์ติดต่อส่วนใหญ่จะมาประมาณนี้

เบอร์ร้านข้าวแกงกระหรี่ (Love Rain) ที่ Furano
เบอร์ร้านข้าวแกงกระหรี่ (Love Rain) ที่ Furano

เวลาเรากรอกเบอร์ลง GPS นี้ ถ้าเผลอกรอก +81 167-23-4784 ลงไปเลย จำนวนหลักมันจะเกิน แต่ถ้าตัด +81 ซึ่งเป็นรหัสประเทศไป มันก็จะขาดไป 1 หลัก เอ๊ะ! มันยังไง

สุดท้ายก็ถึงบางอ้อ เพราะทริคของมันก็คือให้เริ่มต้นด้วย “0” (ศูนย์) ก่อน แล้วค่อยตามด้วยเบอร์โทรศัพท์ที่ตามมา ถ้าตามตัวอย่าง เราก็ต้องกรอก 0167234784 แล้วก็กด 検索 เพื่อค้นหาและ GPS จะทำการโชว์แผนที่ของสถานที่ที่เราค้นหาตามหมายเลขโทรศัพท์นั้นๆ

Nissan_selectPOI

แผนที่ของสถานที่ที่เรากรอกเบอร์โทรศัพท์ลงไปก็จะถูกแสดงขึ้นมา พร้อมกับเส้นทางแนะนำ ซึ่งหากเราโอเคกับเส้นทางนี้ เราก็สามารถกดปุ่ม スタート Start Navigation ที่อยู่ด้านขวาล่างได้เลย

แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว เราจะเลือกกดปุ่มกลางขวา 別ルート  (Alternative Routes) หรือปุ่มทางเลือกอื่นๆ ก่อนเพื่อดูว่ามีเส้นทางอื่นอีกไหมที่จะพาเราไปสู่จุดหมาย ซึ่งมันก็จะพาเรามาสู่หน้าจอต่อไป

Nissan_alterroutes

หน้าที่มีโหมดการเดินทางให้เราเลือก จะมีอยู่ 5 โหมดด้วยกัน

1) AUTO (自動) – เป็นโหมดที่ทาง GPS NAVI จะเลือกให้เองโดยอัตโนมัติ

2) EXPRESS (有料優先) – เลือกเส้นทางที่ใช้เวลาเดินทางน้อยที่สุด

3) NORMAL (一般優先) – เลือกเส้นทางธรรมดา 

4) eco – เลือกเส้นทางที่ประหยัดที่สุด

5) Shortest route (距離優先) – เลือกเส้นทางที่ใช้ระยะทางสั้นที่สุด

เวลาเรากดปุ่มโหมดแต่ละโหมด GPS ก็จะคำนวนเส้นทางให้เราดู รวมไปถึงบอกข้อมูลเวลาที่จะไปถึงที่หมาย ระยะทาง ค่าทางด่วน และจำนวนนาทีที่ใช้ ส่วนสำหรับการเลือก เนื่องจากเราเป็นนักท่องเที่ยว และเวลาก็มีส่วนสำคัญมากในการเที่ยว ฉะนั้นโหมดที่เราแนะนำให้ใช้จะเป็นโหมด 2) EXPRESS (有料優先) – หรือโหมดด่วนที่สุด ใช้เวลาเดินทางน้อยที่สุด ซึ่งโหมดนี้ GPS มักจะเลือกให้ขึ้นทางด่วน (IC) ซึ่งเราสามารถทำความเร็วได้ดี และมี Speed limit ค่อนข้างสูง ซึ่งแน่นอนจะทำเวลาได้ดีกว่าเส้นทางปกติ ซึ่งมักจะมีไฟแดงเยอะมาก

ซึ่งแน่นอนการใช้ทางด่วน มันก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเข้ามา แต่เชื่อเราเถอะ ไม่ต้องไปคิดมาก ยอมจ่ายเงินค่าทางด่วนอีกเล็กน้อย แต่เราจะมีเวลาไปเที่ยวและมีเวลานั่งชิวๆ ในหลายๆ แห่งได้มากโขเลย คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม =)

ซึ่งหลังจากเราเลือกโหมดที่พอใจแล้ว ก็ให้กดปุ่ม  スタート Start Navigation ก็เสร็จเรียบร้อย โรงเรียนไทย พร้อมเดินทางทันที ลุยยยยยยย!

ลุยยยยยย
ลุยยยยยย!

อย่างที่บอกไว้ว่า GPS NAVI ที่แนะนำวิธีการใช้ไปนี้เป็นตัว GPS NAVI ที่ติดอยู่ในรถของ Nissan ซึ่งเหตุผลที่แนะนำให้ใช้เบอร์โทรศัพท์กับ MAPCODE นอกจากง่ายแล้วยังเป็นเพราะว่าตัวแผนที่ (MAP) ของ GPS NAVI บนรถ NISSAN นั้นเป็นภาษาญี่ปุ่น ชื่อ POIs ต่่างๆ ชื่อถนน ชื่อเมือง ล้วนเป็นภาษาญี่ปุ่่นทั้งสิ้น แล้วคนพร่องภาษาญี่ปุ่นอย่างเรา จะรอดไหมเนี้ย

 

ข้อมูล MAP บนรถ Nissan เป็นภาษาญี่ปุ่น

แต่ก็ใช่ว่า GPS NAVI ของรถในญี่ปุ่นจะไม่มีแผนที่ที่เป็นภาษาอังกฤษเลยนะ ที่แน่ใจว่ามีแผนที่ที่รองรับภาษาอังกฤษแน่นอนเลยก็คือ MAP ของรถ TOYOTA

 

TOYOTA GPS
ช้อมูล MAP บนรถ TOYOTA เป็นภาษาอังกฤษ

ฉะนั้นหากว่าเราเลือกที่จะเช่ารถยี่ห้อ TOYOTA นั้น ในการใช้งาน GPS NAVI เนี้ย ก็จะได้เปรียบรถยี่ห้ออื่นๆ พอสมควรเลย เพราะเวลาค้นหาสถานที่ต่างๆ เราสามารถพิมพ์และค้นหาเป็นภาษาอังกฤษ

 

TOYOTA GPS MAP สามารถใช้ภาษาอังกฤษค้นหา POI
TOYOTA GPS MAP – English Input

นอกจากจะมีระบบใส่ข้อมูลและค้นหาเป็นภาษาอังกฤษแล้ว…. ก็ยังมี

 

POI ที่เป็นภาษาอังกฤษ !
TOYOTA GPS MAP – English POIs

ชื่อสถานที่ POIs เป็นภาษาอังกฤษแบบสมบูรณ์……… นอกจากนั้นยังไม่พอ

 

ชื่อถนน หนทาง เป็นภาษาอังกฤษ
TOYOTA GPS MAP – ENGLISH MAP

ชื่อถนนหนทาง และแผนที่ก็ยังเป็นภาษาอังกฤษ…..

 

Screen Shot 2556-09-06 at 6.47.40 PM
TOYOTA GPS MAP – Mostly English Supported

พูดง่ายๆ ก็กว่า 95% เนี้ยของระบบ GPS NAVI บนรถ TOYOTA  ไม่ว่าจะเป็น Interface, เมนู, แผนที่ และอะไรต่อมิอะไร รองรับภาษาอังกฤษ ซึ่งเหมาะสมกับคนต่างชาติที่จะได้งานมากๆ

ตอนนี้ก็อาจจะเกิดคำถามว่า แล้วจะมาพูดถึง GPS NAVI ของ Nissan ทำไมล่ะ? ก็เช่า TOYOTA ไปสิ คำตอบโดนๆ ก็น่าจะเป็น รถเช่าของ Nissan นั้น ราคาถูก กว่าของ Toyota ……… และถูกกว่าพอสมควรเลยทีเดียว 20%-30% ได้ ถ้าเทียบราคาเป็นรุ่นรถ ที่อยู่ใน Class เดียวกัน ซึ่งตรงนี้มันก็แล้วแต่คนนะ ว่าใครจะเลือกสบายใจยอมจ่ายแพง หรือจะประหยัดหน่อยนะ ก็ใช้งานได้เหมือนกัน

ซึ่งหากสรุปเทคนิคการใช้ GPS Navigation ที่ญี่ปุ่น สำหรับรถ (Nissan)

1) ใช้เบอร์โทรศัพท์ในการเลือกสถานที่

2) กด “0” ศูนย์นำหน้าก่อน ค่อยตามด้วยเบอร์โทรศัพท์

3) ให้เลือก Express Mode โดยการขึ้นทางด่วนในทุกๆเส้นทางที่เดินทาง

ส่วนถ้าใครเลือกที่จะเอาสบายแต่ยอมจ่ายแพงเพิม ก็แนะนำให้เลือกเช่ารถยี่ห้อ TOYOTA ไป

♠♣♥♦

แถม Keywords สำคัญในการใช้งาน GPS NAVI ที่ญี่ปุ่นนะ โดยเฉพาะบนทางด่วน เวลาเจอข้อมูลพวกนี้โชว์ขึ้นมาจะได้ไม่งง

–  IC ย่อมาจาก (Interchange) หมายถึง ทางเข้าและทางออกทางด่วน ประมาณ Entry / Exit นั้นเอง

– PA ย่อมาจาก (Parking Area) หมายถึง ที่พักรถตามทางด่วน จะมีห้องน้ำ มีตู้กดน้ำ 

– SA ย่อมาจาก (Service Area) หมายถึง ที่พักรถเหมือนกัน แต่จะเป็นที่พักรถขนาดใหญ่ นอกจากห้องน้ำ ตู้กดน้ำแล้ว ก็จะมีร้านอาหาร บางทีมีให้บริการเก้าอี้นวด แม้แต่สปาด้วย

– ETC ย่อมาจาก (Electronic Toll Collection) หมายถึง Easy Pass แบบของประเทศไทยนั้นเอง ซึ่งรู้สึกว่าจะมีแค่ศูนย์เช่ารถ TOYOTA กับอีกเจ้านึง Nippon (มั้ง) เท่านั้นที่มี ETC ให้ใช้ และต้องจองล่วงหน้าก่อนด้วย ไม่เช่นนั้นก็ต้องจ่ายสดไปแทน

เพราะระหว่างที่เราขับรถอยู่บนทางด่วนระหว่างเมืองเนี้ย GPS NAVI จะมีแจ้งรายละเอียดของที่พักกลางทาง ทางเข้า ทางออกเส้นทางด่วนเป็นระยะๆ ตลอดเวลา ซึ่งเราสามารถที่จะวางแผนได้เลยว่า อูยยยย ปวดฉี่มากเลยอีกกี่นาที/กิโลเมตรนะจะเจอห้องน้ำ!

จริงๆ ตอนแรกว่าจะแนะนำทั้งการใช้งาน GPS NAVI และการเติมน้ำมันด้วยใน Part 3 นี้ แต่ไปๆ มาๆ แค่เขียนเรื่อง GPS NAVI มันก็เยอะพอสมควร ฉะนั้นวิธีการเติมน้ำมันก็ขอเอาไว้เขียนในตอนถัดไปละกัน

Credit **รูป GPS NAVI ของ TOYOTA ต้องขอบใจเพื่อนโอมาก ที่ถ่ายวีดีโอมาให้ แม้จะมือสั่นไปหน่อย แต่ก็ช่วยเราได้เยอะเลย**

Filed Under: Travel Tagged With: GPS, Hokkaido, Road Trip

เที่ยวฮอกไกโด ตอนที่2 (Chitose การขึ้น Shuttle Bus การรับรถ)

August 15, 2013 by Chaiyasit Admin 8 Comments

นับถอยหลังรอวันที่จะได้ไปขับรถท่องเที่ยวญี่ปุ่น อย่างที่ใจฝัน ในชีวิตที่ผ่านมาเรื่องเช่ารถและขับรถเที่ยวในต่างประเทศนั้น เคยแค่ครั้งเดียวเองเมื่อหลายปีที่แล้ว ณ ประเทศนิวซีแลนด์ เพียงแต่ว่าตอนนั้นเราไม่ได้เป็นคนจัดการดูแลวางแผนเรื่องการท่องเที่ยวเลย ได้รับคำสั่งมาอย่างเดียวว่าให้เตรียมใบขับขี่สากลไว้พอ จะได้เผื่อช่วยพี่ๆเขาขับรถ ฉะนั้นเรื่องประสบการณ์จองรถ เช่ารถ เลือกรถ วางแผนการเดินทาง อะไรก็แล้วแต่นั้นเรียกได้ว่า “ศูนย์” มาทริปเที่ยวญี่ปุ่นที่ฮอกไกโดนี้แหละ ที่จะเป็นครั้งแรกที่เราเป็นคนจัดการดูแลเส้นทางการเดินทาง โปรแกรมเที่ยว ร้านอาหาร โรงแรมที่พัก สัพเพเหระเอง ก็สนุกดีน่ะ ค้นคว้าเองอะไรเอง แถมสมัยนี้ข้อมูลอะไรก็หาได้ไม่ยาก  ด้วยที่ว่าข้อมูลบนโลกอินเตอร์เนตนั้นมีอยู่เยอะ มากมาย และมหาศาล ส่วนที่ยากก็จะเป็นการกลั่นกรอง หากข้อมูลที่มีประโยชน์และเหมาะสมกับตัวเราเองเสียมากกว่า

อย่างที่เล่ามาว่าทริปขับรถเที่ยวญี่ปุ่นคราวนี้ เราจะเริ่มต้นจากสนามบิน New-Chitose รับรถเสร็จก็จะขับรถเดินทางต่อไปยังเมือง Furano และไปแวะกินอาหารเที่ยงในเมือง ซึ่งเป็นร้านอาหารในละครซี่รี่เกาหลีเรื่อง Love Rain ที่จางกึนซอก กับยุนอา SNSD เล่นด้วยกัน ถ้าคนที่ดูซี่รี่เรื่องนี้น่าจะจำฉากในตอนแรกๆ ได้ดีที่ว่า พระเอกกับนางเอกเพิ่งได้เจอกัน และสุดท้ายได้ไปกินข้าวแกงกระหรี่ในเมือง Furano นั้นแหละจุดหมายปลายทางแรกของเราก็จะคือที่ร้านแกงกระหรี่นั้นเอง (นี่มันตามรอยซี่รี่ แดจังกึม ชัดๆ)

LOVE RAIN CURRY
Yuigadokuson (“唯我獨尊” )

การรับรถ

แต่ก่อนที่จะเล่าไปถึงการเดินทางเรามาเข้าเรื่องการรับรถก่อนดีกว่า และสิ่งที่ควรรู้สำหรับการ เช่ารถ ขับรถ เที่ยวญี่ปุ่น ณ ฮอกไกโด นี้ก็คือ ศูนย์เช่ารถต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Toyota, Nissan, JR, หรือที่ไหนก็ตามแต่ มันไม่ได้อยู่ในตัวสนามบิน New-Chitose (CTS) นะ แต่มันจะอยู่ห่างจากสนามบินไปเล็กน้อย แต่…. แต่….. มันเป็นระยะทางที่ไม่ควรเดิน ฉะนั้นเราก็ต้องพึ่งพา Shuttle Bus เพื่อที่จะพาเรารวมทั้งเหล่าสมาชิกและสิ่งของกระเป๋าสัพเพเหระทั้งหลายเพื่อไปยังบริษัทเช่ารถแต่ละแห่ง

ฉะนั้นหลังจากที่เราผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย เพื่อจะเดินทางไปรับรถ ให้เราเตรียมเอกสารดังนี้

1) Passport

2) ใบขับขี่ตัวของไทย (ต้องพกไปด้วยนะ)

3) ใบขับขี่สากล (ต้องพาไปด้วยแน่นอน)

4) ใบจองรถ

และลงไปที่ชั้นล่างของสนามบิน ชั้น 1F ซึ่งจะเป็นทางยาวๆ ด้านซ้ายด้านขวา จะเป็นที่จอดรถรับส่งรถบัส และเดินตรงตามทางไปเรื่อยๆ จนพบกับ Transportation Information Center แล้วให้เราแจ้งเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการไปรับรถเช่าของเรา ทางเจ้าหน้าที่เขาจะติดต่อบริษัทเช่ารถนั้นๆ ให้เพื่อที่จะส่งรถ Shuttle Bus มารับเรานั้นเอง โดยปกติน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 10-15 นาที สำหรับ Shuttle Bus

 

1-IMG_0044
พนักงานสาว ยื่นเอกสารใบจองรถให้อีกฉบับนึง

นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ เขาจะให้เอกสารการเช่ารถเรามา 1 ชุด เพื่อที่จะให้เราเอาไปยื่นกับบริษัทเช่ารถที่เราจองรถมา ซึ่งภายในเอกสารนี้จะมีหมายเลขคิว มาให้ด้วย (เอาจริงๆ ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่ามันคือหมายเลขคิว)

รอสักครู่นั้นไง รถ Shuttle Bus ของ Nissan มาแล้ว ที่ญี่ปุ่นเขาตรงต่อเวลามาก ถ้าเขาบอกว่า 10 นาที นี้เขาก็หมายถึง 10 นาทีจริงๆนะ ไม่ได้มี 10 นาทีนิดๆหน่อยๆ เหมือนบ้านเรา

 

1-IMG_0051
รถบัสของนิสสันมารับแล้ว

เราก็รีบแบกลากกระเป๋าสัมภาระ ของเราขึ้นรถ ลุงคนขับหน้าตาใจดี ก็จะมาช่วยยกกระเป๋าให้ นี้แหละคนญี่ปุ่นเรื่องจิตใจบริการนี้ต้องยกให้เขาเลย

ขึ้นมาเสร็จก็ตกใจเล็กน้อย ทำไมเขาส่งรถบัสคันใหญ่มารับเรากรุ๊ปเดียวหรือนี้ ประมาณรถบัสทั้งคันให้นายคนเดียวเลย แต่พอนั่งไปได้สักพักนึง ก็ถึงบางอ้อ เพราะแทนที่รถจะขับตรงไปที่ศูนย์เช่ารถ เขาขับไปแวะรับคนญี่ปุ่นอีกหลายกรุ๊ปที่ Chitose Domestic Airport ก่อน แล้วค่อยพาเราไปส่งที่ศูนย์เช่ารถ Nissan

 

1-IMG_0056
ครอบครัวชาวญี่ปุ่นที่เดินทางไปศูนย์เช่ารถนิสสันเช่นกัน จาก Domestic Airport

ถึงแล้วววววววว ลงจากรถบัสเสร็จก็รีบเข้าไปในศูนย์ ด้วยความที่ไม่เคย ก็พยายามเดินหาตู้กดรับบัตรคิว เดินไปเดินมา สองรอบก็แล้วก็ยังหาตู้ไม่เจอ เอ่ะ ความคิดมันก็ผุดขึ้นมาในหัว แล้วมันจะรู้ได้ยังไงฟ่ะ ว่าเรามาถึงแล้ว ก็เลยแสดงความเป็นกระเหรี่ยง เดินเข้าไปถามพนักงานหลังเคาเตอร์ และด้วยที่พูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้เลย ก็เลยได้แต่ใช้ภาษามือพร้อมชูเอกสาร พนักงานมันก็มองหน้ากลับมาแล้วใส่ภาษาญี่ปุ่นชุดกลาง พร้อมผายมือเชิญไปที่นั่ง ….

 

1-IMG_0058
เคาเตอร์ทยอยเรียกทีละคิว

กระเหรี่ยงอย่างเราไม่เข้าใจที่เขาพูดหรอก เข้าใจแค่ว่า เออ นั่งก็ได้ฟ่ะ บัตรคิวก็ยังไม่มี …….. หลังจากจ่อก้นลงที่นั่งไปได้สักพักสายตาก็เริ่มสอดส่องมาในเอกสารที่พนักงานสาวจาก Transportation Information Center เขาให้เรามา ก็เจอหมายเลขที่จิตใต้สำนึกเริ่มจะฉุกคิดได้ว่า มันน่าจะเป็นหมายเลขคิวแหละ พอฉุกคิดได้อย่างนั้น ความกระเหรี่ยงของเราก็ลดระดับลงจนเหลือ “ศูนย์” พร้อมนั่งนิ่งๆเรียบร้อย 😀

นั้นไงล่ะ รอไปได้สักคิวสองคิว หมายเลขบนเอกสารนั้นก็ บลิ๊งๆ ขึ้นอยู่บนหน้าจอ พร้อมบอกหมายเลขเคาเตอร์ที่เราจะต้องเข้าไปติดต่อ เรา ไม่รอช้ารีบเข้าไปทันที พร้อมเอาเอกสารต่างๆ ให้พนักงานตรวจสอบ ในใจก็ลุ้นว่า รถคันไหนนะ ที่จะได้เป็นรถแห่งความโชคดี ที่จะมาเป็นเพื่อนคู่ใจในทริปขับรถเที่ยวญี่ปุ่นของเราคราวนี้

ระหว่างรอพนักงานเขาก็มีเอกสาร 2-3 อย่างมาให้เราเซ็นชื่อ เท่าที่อ่านดูจะเป็นเอกสารเกี่ยวกับเรื่องประกันอุบัติเหตุ เรื่อง N.O.C. รวมทั้งเอกสารที่แจ้งว่า ถ้าหากเราทำผิดกฏจราจรของฮอกไกโด และถูกปรับ ถูกใบสั่ง ถูกล็อคล้อ ต่างๆนาๆ เราจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายและค่าดำเนินการต่างๆทั้งสิ้น

นอกจากนี้ก็จะเป็นการรูดปรื้ดดด บัตรเครดิตก่อนเพื่อเป็นการการันตีค่าเช่ารถ

หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องเอกสาร ก็ถึงเวลาที่พนักงานจะพาเราไปชมและตรวจรถที่สุดแสนจะโชคดี ที่จะได้มาเป็นเพื่อนการเดินทางของเรากัน

 

1-IMG_0060
หรือว่าคันนี้ ! Nissan Cube… ไม่ใช่ล่ะ แต่สวยและดูดีมาก น่าขับสุดๆ
1-IMG_0065
คันนี้ต่างหากๆ และพนักงานกำลังง่วนสอนฟังชั่นเบื้องต้นของรถ

พนักงานก็จะสอนวิธีการใช้รีโมทรถ การเปิดปิด GPS การขยับเบาะหลัง อะไรต่างๆ พร้อมบอกข้อมูลบนหน้าปัดรถอะไรต่างๆนานา เป็นภาษาญี่ปุ่น ……… และเราก็กระเหรี่ยงคนไทยอยู่แล้ว คิดว่าจะสนใจฟังรึ เราก็เดินตรวจสภาพรถก่อน ว่ามีรงมีรอย อะไรตรงไหนไหม ตรวจกระจกมีรอยร้าวหรือเปล่า เช็คไฟเลี้ยว ไฟหน้า ไฟหรี่ทุกอย่าง ว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดีพร้อมใช้งาน และสุดท้ายเช็คน้ำมันว่าเต็มถังรึเปล่า เพราะสุดท้ายเวลาเราเอารถมาคืน ตามมารยาทและสิ่งที่พึงกระทำก็คือ เราต้องเติมน้ำมันกลับมาอย่างเต็มถังเช่นเดียวกัน

หลังจากตรวจรถเรียบร้อย รถ Nissan Cube คันนี้ก็อยู่ในกำมือเรา และพร้อมออกเดินทางไปยัง Furano ได้แล้ว !

 

สรุปสำหรับ Road Trip in Hokkaido Part2 ทริปเช่ารถ ขับรถ เที่ยวญี่ปุ่น (ฮอกไกโด) ไม่ง้อทัวร์ ตอนที่2

– นอกจากใบขับขี่สากล แต่ใบขับขี่ไทยต้องใช้ด้วยนะ

– ศูนย์ติดต่อรถเช่า (ทุกยี่ห้อ) ที่ New-Chitose Airport อยู่ที่ชั้น 1 (Transportation Information Center)

– ต้องเผื่อเวลา Shuttle Bus และเวลาดำเนินเอกสารตอนจะรับรถ 1 ชม. ขั้นต่ำ

– ตรวจสภาพรถให้แน่ใจว่า ไม่มีรอยใดๆ รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ นั้นใช้งานได้

 

แนะนำ: คู่มือการขับรถในฮอกไกโด ภาษาไทย Download Here (น่าจะอ่านสักรอบก่อนการเดินทางนะ)

credit: Japan National Tourism Organization

1-IMG_0069-001

 ใช้ GPS ครั้งแรก นั่งกดมั่วอยู่เกือบ 15 นาทีกว่าจะได้ออกรถ lol

ตอนหน้าจะเกี่ยวกับเทคนิคการใช้งาน GPS แบบเบื้องต้นและการเติมน้ำมัน

แถมแผนที่บอกระยะทาง ถนนสายหลัก ถนนทางด่วน รวมทั้งระยะเวลาคร่าวๆ (เป็นประโยชน์ในการวางแผนการเดินทางมากๆ)

 

hokkaido_distances_map

 

Credit: www.hokkaidoguide.com

 

Filed Under: Travel Tagged With: Chitose, New-Chitose, ญี่ปุ่น, ฮอกไกโด, เช่ารถ

  • « Go to Previous Page
  • Go to page 1
  • Go to page 2
  • Go to page 3
  • Go to page 4
  • Interim pages omitted …
  • Go to page 6
  • Go to Next Page »

Primary Sidebar

LIVE ONCE

Search

Recent Posts

  • คุ้มไหม? กับสิทธิประโยชน์บัตร American Express Platinum ปี 2018 กับค่าธรรมเนียมรายปี 35,000 บาท
  • Wat Mahathat Worawihan in 10 Photos (Ratchaburi)
  • มากิน Haidilao Steamboat สุกี้สัญชาติจีน การบริการหลุดโลก 313@Somerset
  • X2 River Kwai Kanchanaburi In The Morning Photo Gallery
  • ประเดิม 10 km แรกกับ Nike Zoom Fly เปรียบเทียบกับ Asics Nimbus 19

Copyright © 2023 · Metro Pro on Genesis Framework · WordPress · Log in