ชีวิตมันก็เริ่มต้นง่ายๆ และใครๆก็รักอิสระ แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ใกล้ตัวเช่นเรื่องกิน และประโยคคำถามที่ได้ยินกันบ่อย “เย็นนี้กินอะไรกันดี” แม้คำตอบที่ได้ยินกลับมาจะเป็นคำตอบง่ายๆ “อะไรก็ได้” แต่สุดท้ายชีวิตมันก็จะมีอะไรที่ Complicated เสมอ “งั้นกินโอโตยะไหม?” เพราะจิตใจที่รักอิสระ “ไม่เอาอะ โอโตยะ กินฟูจิละกัน” นั้น….. อิสระหรือเอาแต่ใจ
ฉะนั้นเรื่องใหญ่ยิ่งยวดสำหรับเราก็เช่นกัน ใครๆก็ชอบที่จะมีอิสระ จะไปไหน จะหยุดที่นั้น จะกินที่นี้ จะนอนก่อน หรือจะผ่านไป ไม่เอาล่ะน่าเบื่อชิบ สุดแสนจะอิสระแบบนี้คงหาไม่ได้กับการเที่ยวแบบทัวร์ ซึ่งจะได้ยินคำวลีดังก้องในหูเสมอๆ ดังเช่น “พรุ่งนี้ 6 7 8 ล้อหมุนนะค่ะ”, “มีเวลาให้ลงไปถ่ายรูป 15 นาที แล้วรีบกลับขึ้นรถนะค่ะ”, “อาหารเปลี่ยนไม่ได้นะค่ะ ถ้าจะสั่งพิเศษต้องจ่ายต่างหาก”, “มีเวลา 2 ชั่วโมงให้ทุกท่านช็อปปิ้งอย่างหนำใจ แล้วมาเจอกัน 6โมงนะค่ะ นัดร้านอาหารไว้แล้ว” เอ่อ คือช็อปปิ้ง 2 ชม. นี้คือจุใจรึ วิ่งหาร้านซื้อของตามใบสั่งก็หมดแล้ว ของตัวเองอย่าเพิ่งหวังเลย!
หลังจากวางแผนอย่างดิบดีในการจะไปเที่ยวญี่ปุ่น ซึ่งคราวนี้เลือกที่จะไปเที่ยวชมสวนดอกไม้ลาเวนเดอร์อันลือชื่อเป็นหลักใหญ่ จุดหมายคงเป็นไปอย่างอื่นไม่ได้นอกจากว่าเราจะไปเที่ยวเกาะฮอกไกโด ซึ่งเป็นเกาะเหนือของญี่ปุ่น มีพื้นที่กว้างใหญ่แต่มีประชากรอยู่ราวๆ 6ล้านคนเท่านั้น ถือว่าน้อยมากๆนะหากเทียบจำนวนประชากรในแต่ละเมืองของญี่ปุ่น
เดินทาง 21 กรกฏาคม กลับ 2 สิงหาคม ถ้าไม่นับวันไปวันกลับเที่ยวจริงๆก็ 11วันเต็มๆ ได้วางทริปเดินทางคร่าวๆประมาณนี้
Chitose -> Furano -> Biei -> Asahikawa -> Otaru -> Shakotan -> Niseko -> Toya -> Hakodate -> Noboribetsu -> Sapporo -> Chitose
การจะเที่ยวญี่ปุ่นเองโดยการไม่พึ่งทัวร์นั้นหลักๆก็จะมีอยู่ 2 ทางเลือก คือ
1) พึ่งรถไฟ ซึ่งครอบคลุมไปเกือบทุกเมืองในญี่ปุ่น
2) ขับรถเอง
ก็เลยต้องรีบค้นคว้าหาราคาของ JR Pass ซึ่งในฮอกไกโดเขาเรียกว่า Hokkaido Rail Pass
Type | ||
3 Day Pass | ||
5 Day Pass | ||
7 Day Pass | ||
Flexible 4 Day Pass | ||
Reduced rates (50% off) apply to children aged 6-11. |
(รูปและราคาดึงมาจากเวป http://www.japan-guide.com/e/e2361_01.html)

ถ้าจะเที่ยวญี่ปุ่น 11 วัน ถ้าจะคิดง่ายๆไม่อะไรมาก จะให้ Hokkaido Rail Pass มันครอบคลุมก็ต้องซื้อแบบ 7วัน + 3วัน (22,000 + 15,000) ก็ตก 37,000 เยนต่อคนไม่รวมค่ารถบัสบางแห่งที่ ไม่รวมอยู่ใน Hokkaido Rail Pass และก็ไม่รวมการเดินทางไปกลับสนามบิน Chitose เช่นกัน ส่วนทริปนี้เราจะไปกัน 4 คน 37,000 x 4 ก็ 148,000 เยน ซึ่งจะเป็นแค่ค่าเดินทางหลัก แถมนั่งดูคร่าวๆแล้วรถไฟจะไปไม่ถึง Shakotan อีกต่างหากซึ่งจะอยู่ทางตะวันตกของ Otaru ไปอีก ซึ่งแน่นอนถ้าจะเลือกเดินทางสายรถไฟ รถบัสก็จะเป็นการเดินทางเสริม (พอคิดอย่างงี้ ความขี้เกียจก็เริ่มบังเกิด) ฟันธงไปเลยว่าเราคงต้อง ขับรถ เที่ยวญี่ปุ่น น่าจะดีกว่า
ก็รีบเริ่มต้นค้นคว้าเกี่ยวกับการเช่ารถและการขับรถเที่ยวญี่ปุ่นเองโดยทันที แล้วก็พบเวปไซต์เช่ารถของญี่ปุ่นที่ราคาค่อนข้างถูก http://www2.tocoo.jp

เข้ามาตอนแรกก็งงๆเล็กน้อย แต่ก็เลือก Search by Airport ไปไม่คิดมากและถัดมาก็เลือก New-Chitose (CTS) เพราะการบินไทยเราบินตรงไปยังสนามบินแห่งนี้

ที่สนามบิน Chitose มีบริษัทที่ให้บริการเช่ารถอยู่ 7 แห่ง เท่าที่นั่งไล่กดดูราคาของรถเช่าของแต่ละบริษัท ซึ่งก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลเลยว่าอยากได้รถรุ่นไหนขับ ซึ่งแนะนำว่ามีสิ่งที่ต้องคำนึงหลักๆ อยู่ 2 เรื่องคือ
1) จำนวนผู้โดยสาร
2) พื้นที่เก็บสัมพาระ (Trunk Space)
รถบางรุ่นจุคนได้เยอะ แต่พื้นที่สัมพาระน้อยมาก อาจจะไม่พอกระเป๋าที่แต่ละคนแบกกันไปเตรียมซื้อของฝากกลับเมืองไทยกันไม่ไหว ซึ่งเท่าที่ทราบหากเราเลือกรุ่นรถที่ไม่เหมาะสมกับจำนวนคนและกระเป๋า หากไปถึงวันรับรถแล้วเรายัดจุคนทั้งกระเป๋าเข้ารถไม่ได้ ทางบริษัทเขาจะไม่รับผิดชอบนะ แล้วก็ไม่รับปากว่าจะมีรถเปลี่ยนให้ด้วย ฉะนั้นต้องทำการบ้านดีดีหน่อย โดยตรวจสอบขนาดรถ และที่สำคัญขนาดของที่เก็บสัมพาระข้างหลัง ซึ่งทริปนี้จริงๆ ก็แอบมีรุ่นรถที่อยู่ในดวงใจแล้ว 2 รุ่นที่อยากลองขับ แล้วเท่าที่เทียบราคาค่าเช่าแล้วค่อนข้างจะถูกกว่ารถยี่ห้ออื่นๆพอสมควร
** แนะนำถ้าหากสนใจรถเช่าของนิสสัน Nissan สามารถเข้าไปตรวจสอบข้อมูลรถและที่สำคัญขนาดของที่เก็บสัมพาระได้ค่อนข้างชัดเจน https://nissan-rentacar.com/english/vehicles-rates/passenger/
หวยที่ออกรถในดวงใจสำหรับทริปขับรถเที่ยวญี่ปุ่นรอบนี้คือ Nissan Cube นั้นเอง หลังจากค้นคว้าพยายามสอดส่องรถ Cube ที่ขับผ่านเราไปมาบนท้องถนน รวมถึงนั่งกดดูรีวิวรถบน Youtube เพื่อเช็คและให้แน่ใจว่าขนาดรถเพียงพอสำหรับ 4 คน และพอจุกระเป๋าขนาดกลางได้ 4 ใบ


หลังจากตกลงปลงใจเลือกรถแห่งอิสระ ในการขับรถเที่ยวญี่ปุ่นได้แล้ว ก็ให้กดที่ปุ่ม Rental Charge & Reservation กันเลย ซึ่งก็จะเป็นการคำนวนค่าเสียหายในการเช่ารถคร่าวๆ แล้วล่ะ ลุ้นเล็กน้อยว่าจะราคาแพงกว่าหรือถูกกว่าการใช้ Hokkaido Rail Pass

ตามภาพก็เลือกช่วงเวลาก่อน บนสุด July 01, 2013 – Mar 31, 2014
แล้วก็วันที่จะรับรถ และวันที่จะคืนรถ ซึ่งตรงนี้แนะนำว่าวันรับรถถ้าบินด้วยสายการบินไทย เครื่องจะลงที่ Chitose ประมาณ 8 โมง ซึ่งกว่าจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง กว่าจะรอกระเป๋า กว่าจะได้ออกมาก็ราวๆ 9 โมง ฉะนั้นจะใส่ 9โมง หรือ 9โมงครึ่งก็สบายๆ ในรูปใส่แบบเผื่อๆไว้ที่ 10โมงเช้า ส่วนวันส่งรถแนะนำให้เลือกไว้ 8 โมงเช้า ตั้งแต่ศูนย์เปิดเลย เพราะว่าจะได้มีเวลามาช็อปต่อที่สนามบินได้ไง ของอร่อยของฝากเยอะแยะ มาให้เผาเงินเยนไม่ให้เหลือกลับบ้านกันทีเดียว
หลังจากกรอก 2 ส่วนบนเสร็จก็กดปุ่ม Stimulate ทันที ราคาค่าเช่ารถแบบคร่าวๆ ก็จะโชว์ขึ้นมาให้เห็น ไม่ต้องไปสนใจฝั่งขวา ดูแค่ฝั่งซ้ายบรรทัดล่างสุดก็พอที่ 77,385 เยน
เห็นราคาแล้วก็เหมือนปลากระดี่ได้น้ำ รีบกด Time System ต่อทันที เพื่อไปกรอกแบบฟอร์มการจองรถ
แบบฟอร์มการจองรถก็กรอกไปตามข้อมูลที่เรามี ส่วนสำคัญที่น่าสนใจก็จะเป็นส่วนประกันภัย
Immunity Insurance <- ประกันอุบัติเหตุของรถ ว่าครอบคลุมอะไรบ้าง
N.O.C. <- ประกันส่วนค่าเสียโอกาสของบริษัท ในกรณีรถเสียหรือเกิดอุบัติเหตุแล้วใช้งานไม่ได้
ถ้าใครมั่นใจว่าขับแล้วไม่กลัวอุบัติเหตุก็ไม่ต้องติ๊กก็ได้ แต่เราขี้เกียจไปคิดมากมันติ๊กมาให้แล้วก็เลยตามเลย (ง่ายไปไหม?)
English Speaking GPS <- ควรจะติ๊ก เพราะสำคัญกับเราๆ ภาษาญี่ปุ่นอ่อนแอ จะมาใช้ภาษาใบ้กับ GPS ก็คงจะคุยกันไม่รู้เรื่อง
Drivers License <- ไปสมัครใบขับขี่สากลได้ที่กรมขนส่งทางบกเลย ใช้ได้ในหลายๆประเทศรวมไปถึงประเทศญี่ปุ่น เสียตัง 500 มั้งถ้าจำไม่ผิด รอไม่ถึง 10 นาทีได้แล้วง่ายมาก ไม่ต้องสอบอะไรเพิ่มเติม ขอแค่มีใบขับขี่ของประเทศไทยอยู่เป็นพอ
Special Requests <- บางทีเวลาเราจองรถเนี้ย แนะนำให้ใส่เลือกรุ่นที่เราอยากได้เข้าไปในช่องนี้อีกรอบ อย่าง Nissan Class P-3 เนี้ยรูปใช้ Nissan Cube อยู่แล้ว แต่บางทีมันอาจจะมีรถรุ่นอื่นๆ ที่ไม่ใช่ Cube อยู่ใน Class เดียวกันก็ได้ เขาอาจจะบอกไม่การันตีรถให้ได้ว่าจะได้รุ่นไหน แต่ใส่ Special Request ไปก็กันเหนียว ใส่ไปก็ไม่เสียหายอะไรหนิ
ส่วนข้างล่างก็ติ๊กๆไปให้หมด เกี่ยวกับ Terms&Conditions ทั้งหลาย (แต่อ่านหน่อยก็ดีนะ)
สุดท้ายหลังจาก Confirm ไปสักพักก็จะได้ Confirmation Email กลับมา อาจจะดูกากๆ หน่อยแต่ไม่ต้องกังวลใช้รับรถได้จริงๆ

ส่วนเงินค่าเช่ารถจะยังไม่ถูกตัดบัตรนะ แต่จะต้องไปคอนเฟิร์มยืนยันบัตรอีกทีในวันที่รับรถ
อีกเหตุผลนึงที่เลือกเช่ารถ และขับรถเที่ยวเล่นที่เกาะฮอกไกโดเพราะว่า กังวลเรื่องเวลารอบเดินทางของรถไฟและรถบัส รวมไปถึงขี้เกียจแบกกระเป๋า จากประสบการณ์เที่ยวญี่ปุ่นมาเมื่อปีที่แล้ว บางทีเราได้ไปพักในเรียวกังอย่างดี ที่แบบเฮ้ย อยากจะใช้เวลากับเรียวกังนี้อีกสักหน่อย แต่ด้วยเหตุเวลาของรอบรถไฟหรือรถบัส ก็ต้องตัดใจรีบออกจากที่พัก มันไม่ค่อนฟินส์เท่าไหร่ และที่สำคัญคือเรื่องกระเป๋า เอ้าคิดดูแบกกระเป๋าขึ้นรถบัส แบกขึ้นรถไฟ ถ้าไม่อยากแบกก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มจ้าง บริษัทรับส่งกระเป๋าระหว่างเมือง ต้องไปวิ่งหา Locker ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ปวดเฮดและปวดหลังจริงๆ และข้อจำกัดนี้จะหมดไปทันทีถ้าเราเลือกที่จะขับรถเที่ยวญี่ปุ่นเอง

จบแล้วภาคแรกสำหรับ Hokkaido Road Trip Part1 ขับรถเที่ยวตะลุยญี่ปุ่น เกาะฮอกไกโด ไม่ต้องง้อทัวร์ เช่ารถเองง่ายๆ ตอนที่1
สรุปตอนที่ 1 สาระสำคัญ
– เลือกรถที่เหมาะสมกับจำนวนคน
– ประเมินจำนวนกระเป๋าสัมพาระให้ดี สำคัญมากสำหรับการเช่ารถ และเลือกหารถที่เหมาะสม
– English Speaking GPS นั้นจำเป็นมากสำหรับการท่องเที่ยว
– ก่อนทำการจองรถ ต้องสรุปแผนการเดินทางให้ลงตัว จะรับรถที่ไหน และส่งคืนรถที่ไหน
มาต่อกันเลยกับ ตอนที่2 ขับรถเที่ยวตะลุยญี่ปุ่น เกาะฮอกไกโด ไม่ต้องง้อทัวร์ เช่ารถเองง่ายๆ
ขอบคุณครับสำหรับข้อมูลดีๆ รอชมpart ต่อไปอยู่ครับ
เป็นทริปการเดินทางที่ได้สาระดีมากครับ ครบถ้วนทุกรายละเอียด
ขอบคุณมากครับ มีประโยชน์มากจริงๆ
ดีมากๆ ชัดเจน
ครับ